ออมสินแจ้งลูกค้า MyMo โอนเกิน 5 หมื่นต้องสแกนใบหน้า

ออมสินแจ้งลูกค้า MyMo โอนเกิน 5 หมื่นต้องสแกนใบหน้า

ออมสินแจ้งทุกช่องทางลูกค้า MyMo โอนเงินเกิน 5 หมื่นบาทต่อครั้ง ต้องสแกนใบหน้า และอัปเดตข้อมูลบัตรประชาชนต่อธนาคาร ชี้เป็นแนวปฏิบัติตามมาตรการ การจัดการภัยทุจริตทางการเงินที่ ธปท.กำหนดขึ้น เพื่อให้ลูกค้าปลอดภัยในการทำธุรกรรมการเงินผ่านโมบายแบงก์กิ้งมากขึ้น

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารได้แจ้งไปยังลูกค้าที่ใช้บริการผ่านแอปพลิเคชัน MyMo ในทุกช่องทางให้ดำเนินการยกระดับความปลอดภัยในการโอน หรือเปลี่ยนแปลงวงเงินสำหรับลูกค้าที่มียอดการใช้จ่ายมากกว่า 5 หมื่นบาทต่อครั้งต่อวัน ภายในเดือนพ.ค.นี้ กรณีที่ลูกค้าเคยอัปเดตข้อมูลโดยใช้บัตรประชาชนไปแสดงต่อธนาคารแล้ว แต่ยังไม่มีการสแกนใบหน้า จะต้องสแกนใบหน้าผ่านโมบายแอปพลิเคชันดังกล่าว แต่หากลูกค้าไม่เคยนำบัตรประชาชนไปอัปเดตข้อมูล จะต้องนำบัตรประชาชนไปแสดงเพื่ออัปเดตข้อมูลที่ธนาคารก่อน

ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าว เป็นไปตามมาตรการ การจัดการภัยทุจริตทางการเงินที่ปัจจุบันมีการดำเนินการผ่านช่องทางทางโมบายแบงก์กิ้งกันมากขึ้น โดยธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ได้ยกระดับมาตรการ การดูแลเพื่อให้ทุกสถาบันการเงินปฏิบัติ

“มาตรการดังกล่าวกำหนดให้ทุกแบงก์ปฏิบัติ เพื่อความปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางการเงินของลูกค้า ซึ่งแบงก์เราไม่ใช่แห่งแรกที่ดำเนินการ แต่มีแบงก์อื่นที่ทำแล้ว เช่น แบงก์กรุงเทพ เป็นต้น”

สำหรับฐานลูกค้า MyMo ของธนาคารนั้น ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 9 ล้านราย แต่ในส่วนที่ทำธุรกรรมการเงินวงเงินเกินกว่า 5 หมื่นบาทต่อครั้งนั้น มีไม่มากนัก ดังนั้น ก็เชื่อว่า กรณีที่แบงก์ให้ลูกค้ายกระดับความปลอดภัยด้วยวิธีการดังกล่าว จะไม่เป็นภาระกับลูกค้าส่วนใหญ่ และเชื่อว่า ภายในระยะเวลาที่กำหนด คือ ภายในเดือนพ.ค.นี้ ลูกค้ากลุ่มดังกล่าวจะสามารถดำเนินการยกระดับความปลอดภัยตามวิธีการดังกล่าวได้ทั้งหมด

ทั้งนี้ สำหรับในรายที่ไม่สามารถมาสแกนได้ในช่วงนี้ หากจำเป็นต้องโอนเงินมากกว่า 5 หมื่นบาท ก็อาจใช้วิธีการแบ่งโอนในวงเงินที่ไม่เกิน 5 หมื่นบาทไปก่อน หากสะดวกแล้วก็ขอให้สแกนใบหน้า และนำบัตรประชาชนมาอัปเดตข้อมูล โดยให้ถือว่า เป็นความปลอดภัยในการใช้บริการทางการเงินของลูกค้าเองด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ ธปท.ออกเกณฑ์ปฏิบัติดังกล่าว สถาบันการเงินหลายแห่งที่ให้บริการธุรกรรมการเงินผ่านโมบายแบงก์กิ้งได้แจ้งให้ลูกค้ายกระดับความปลอดภัยด้วยการสแกนใบหน้าแล้ว อาทิ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เป็นต้น

สำหรับมาตรการจัดการภัยทุจริตทางการเงินของ ธปท.ที่จะช่วยป้องกันความเสี่ยง และปิดช่องโหว่ภัยทางการเงินรูปแบบใหม่ๆ ได้อย่างเท่าทัน และเพื่อปิด gap ที่มิจฉาชีพเข้าถึงประชาชนผ่านหลายช่องทางหลายรูปแบบ ประกอบด้วย

1.ให้ธนาคารงดส่งลิงก์ทุกประเภทผ่าน SMS อีเมล และงดส่งลิงก์ขอข้อมูลสำคัญ เช่น ชื่อผู้ใช้งาน รหัสผ่าน และเลขบัตรประชาชน ผ่านโซเชียลมีเดีย

2.ปิดกั้น SMS และเบอร์ call center ที่แอบอ้างเป็นธนาคาร / ปิด website หลอกลวง ร่วมกับ กสทช.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ และสังคม และ TB-CERT

3.จำกัด 1 บัญชีผู้ใช้งาน mobile banking (username) ของแต่ละธนาคาร ให้ใช้ได้ใน 1 อุปกรณ์เท่านั้น

4.ธนาคารต้องแจ้งเตือนบน mobile banking ก่อนทำธุรกรรมทุกครั้ง และต้องให้ผู้ใช้งานประเมินการตระหนักรู้ต่อภัยทุจริต (awareness test) เป็นระยะๆ

5.ธนาคารต้องปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัยบน Mobile Banking ให้ทันสมัย เท่าทันภัยการเงินรูปแบบใหม่อยู่เสมอ และให้แล้วเสร็จตามที่ ธปท.กำหนด

6.ธนาคารต้องให้ยืนยันตัวตนขั้นต่ำด้วย biometrics เมื่อเปิดบัญชีแบบ non-face-to-face / เปลี่ยนวงเงิน /โอนเงินจำนวนมาก

7.กำหนดเพดานวงเงินถอน/ โอนสูงสุดต่อวันให้เหมาะสมตามระดับความเสี่ยงของกลุ่มผู้ใช้บริการแต่ละประเภท (ลูกค้าสามารถขอปรับได้ตามความจำเป็น และต้องยืนยันตัวตนอย่างเข้มงวด

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์