เปิด 5 กองทุน ETF จ่ายปันผลสหรัฐ รวยได้แม้ไม่ได้ออกไปทำงาน
ส่อง 5 กองทุนรวมดัชนีที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐแบบจ่ายเงินปันผล หรือ “Dividend ETFs” พร้อมปล่อยให้ “เงินทำงาน” แบบไม่ต้องนั่งมอนิเตอร์หุ้นรายตัว
Key Points
- DTD ลงทุนในบริษัทสหรัฐที่จ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดอย่างสม่ำเสมอ และมีคุณสมบัติตรงด้านสภาพคล่องและการแปลงเป็นทุนตามข้อกำหนด
- VIG ติดตามดัชนีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของบริษัทในสหรัฐ ที่เพิ่มเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลา 10 ปีหรือมากกว่าติดต่อกัน
- QDF ออกแบบมาเพื่อเสนอหุ้นสหรัฐคุณภาพสูงที่เน้นการเติบโตของรายได้
- HDV เข้าลงทุนหุ้นในสหรัฐที่จ่ายเงินปันผล 75 ตัว ซึ่งมีสุขภาพทางการเงินที่มีคุณภาพดี
- SCHD ลงทุนในหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเงินปันผลสูง ซึ่งออกโดยบริษัทในสหรัฐที่มีสถิติการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ และมีพื้นฐานแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับบริษัทอื่น
สำหรับนักลงทุนที่คาดหวังกับเงินปันผลและไม่ต้องการใช้เวลาหลายชั่วโมงค้นหาข้อมูลหุ้นแต่ละตัว การลงทุนในกองทุนรวมดัชนีที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แบบจ่ายเงินปันผล หรือ “Dividend ETFs” อาจเป็นหนึ่งการลงทุนที่เหมาะสม
ปัจจุบัน มีกองทุนต่างๆ ให้เลือกประมาณ 150 กองทุน ซึ่งครอบคลุมแทบทุกอย่างที่นักลงทุนนึกออก เริ่มตั้งแต่ กลยุทธ์ ธีม และภูมิภาค ซึ่งการลงทุนในตลาดนี้เป็นการลงทุนที่ยอดเยี่ยมมากสำหรับนักลงทุนที่ต้องการ “นั่งเฉยๆ” และปล่อยให้เงินทำงานแทน!
นอกจากนี้ แม้ว่านักลงทุนหลายคนอาจต้องการตกแต่งพอร์ตการลงทุนของตัวเองให้มีสัดส่วนกองทุนระหว่างประเทศ, กองทุนที่มีการจัดการแบบทันท่วงที หรือกองทุนที่กำหนดเป้าหมายตลาดแบบเฉพาะกลุ่ม (Specific Niche Market) ทว่าการทำพอร์ตการลงทุนของตนให้ “ซับซ้อนน้อยที่สุด” ก็อาจเป็นเรื่องที่ดีกว่า โดยหากมีนักลงทุนรายใดมีกองทุน ETF แบบจ่ายเงินปันผลทั้ง 5 กองทุนนี้ ก็ถือได้ว่าพอร์ตการลงทุนครอบคลุมมากทีเดียว!
1. WisdomTree U.S. Total Dividend ETF (DTD)
กองทุนนี้กำหนดเป้าหมายบริษัทในสหรัฐที่จ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดอย่างสม่ำเสมอ และมีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดด้านสภาพคล่องและการแปลงเป็นทุน
บทวิเคราะห์ของสำนักข่าวเดอะสตรีท (The Street) ระบุว่า DTD เป็น “อัญมณีที่ประเมินค่าไม่ได้” (An Underappreciated Gem) โดยกองทุนมีสินทรัพย์เพียง 1 พันล้านดอลลาร์ (3.3 หมื่นล้านบาท) เท่านั้น ซึ่งมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับกองทุน ETF อื่น ๆ ที่
ตัวเลือกใกล้เคียง: WisdomTree U.S. Large Cap Dividend ETF (DLN)
2. Vanguard Dividend Appreciation ETF (VIG)
“VIG” ติดตามดัชนีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (A Market-cap-weighted Index) ของบริษัทในสหรัฐ ที่เพิ่มเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลา 10 ปีหรือมากกว่าติดต่อกัน
กองทุนนี้มีขนาดใหญ่ที่สุดและเป็นที่นิยมมากที่สุดในตลาดกองทุน ETF ทั้งหมด และด้วยกลยุทธ์ที่เรียบง่าย จึงเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเพิ่มสินทรัพย์ที่สร้างเงินปันผลระยะยาวให้พอร์ตการลงทุน โดยปราศจากปัจจัยที่หวือหวา
ตัวเลือกใกล้เคียง: ProShares S&P 500 Dividend Aristocrats ETF (NOBL)
3. FlexShares Quality Dividend Index ETF (QDF)
“QDF” ออกแบบมาเพื่อเสนอ “หุ้นสหรัฐคุณภาพสูง” ที่เน้นการเติบโตของรายได้ กล่าวคือเป็นกองทุนที่เน้นการเติบโตเงินทุนในระยะยาว และค่าเบต้าโดยรวมตามเป้าหมายอยู่ที่ 1 หน่วย
บริษัทที่รวมอยู่ในดัชนีได้รับการคัดเลือกโดยพิจารณาจากตัวเลขคาดการณ์การจ่ายเงินปันผล (Expected Dividend Payment) และปัจจัยพื้นฐาน เช่น ความสามารถในการทำกำไร ความเชี่ยวชาญด้านการจัดการ และกระแสเงินสด
กองทุนดังกล่าวให้ความสำคัญกับมาตรวัดพื้นฐานเชิงบวก (Fundamental Metrics) และผลตอบแทนสูง (High Yields) จากนั้นจึงปรับพอร์ตให้เหมาะสมเพื่อให้ผู้ถือหุ้นได้รับความเสี่ยงในระดับเฉลี่ยของตลาดเท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีกองทุน FlexShares Quality Dividend Dynamic Index ETF (QDYN) สำหรับนักลงทุนที่ต้องการเบต้าระดับ 1-1.5 หน่วย หรือกองทุน FlexShares Quality Dividend Defensive Index ETF (QDEF) หากนักลงทุนต้องการเบต้าระดับ 0.5-1 หน่วย
ตัวเลือกใกล้เคียง: WisdomTree U.S. Quality Dividend Growth ETF (DGRW)
4. iShares Core High Dividend ETF (HDV)
“HDV” เข้าลงทุนหุ้นในสหรัฐ 75 ตัวที่จ่ายเงินปันผล (75 Dividend-paying Domestic Stocks) ซึ่งผ่านการคัดกรอง “สุขภาพทางการเงิน” โดยพิจารณาจากมาตรการของมอร์นิ่งสตาร์ (Morningstar Measures) 2 ชุด คือ “แนวคิดป้อมปราการธุรกิจ” (Economic Moat) และ “แนวคิดระยะห่างสู่การผิดนัดชำระหนี้” (Distance to Default)
อย่างไรก็ตาม บทวิเคราะห์ของสำนักข่าวเดอะตรีท ระบุว่า HDV ไม่ได้เข้าลงทุนในหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงอย่างทั้งหมด (Pure High Yield Exposure) เพราะหากนักลงทุนต้องการกองทุนเช่นนั้นควรพิจารณาเป็นกองทุน The SPDR S&P 500 High Dividend ETF (SPYD) ที่เลือกแต่หุ้นปันผลสูงเข้าพอร์ตแทน
อย่างไรก็ตาม ปัญหาเกี่ยวกับการกำหนดเป้าหมายเป็นผลตอบแทนเพียงอย่างเดียว คือนักลงทุนอาจได้ “หุ้นที่แย่” บางตัวเข้ามาในพอร์ตด้วย เช่นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงเกินจริงเนื่องจากการลดลงของราคาหุ้น หรือหุ้นที่เสี่ยงลดเงินปันผล
ตัวเลือกใกล้เคียง: SPDR S&P 500 High Dividend ETF (SPYD)
5. Schwab U.S. Dividend Equity ETF (SCHD)
“SCHD” วัดผลการดำเนินงานของหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเงินปันผลสูง (High Dividend Yielding Stocks) ซึ่งออกโดยบริษัทในสหรัฐที่มีสถิติการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ และได้รับการคัดเลือกว่ามีพื้นฐานแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับบริษัทอื่น โดยพิจารณาจากอัตราส่วนทางการเงิน
หุ้นที่เข้าเกณฑ์กองทุนนี้จะต้องมีการจ่ายเงินปันผลติดต่อกันอย่างน้อย 10 ปี จากนั้นจึงคัดเลือกโดยการประเมินหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเงินปันผลสูงสุด โดยพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐาน 4 ประการ ได้แก่ กระแสเงินสดต่อหนี้สินรวม (Cash Flow to Total Debt) ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity) อัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) และการเติบโตของเงินปันผลในระยะ 5 ปี (5-year Dividend Growth Rate)
ตัวเลือกใกล้เคียง: iShares Select Dividend ETF (DVY)
ท้ายที่สุด บทวิเคราะห์ของสำนักข่าวเดอะสตรีทระบุว่า พอร์ต ETF จากทั้ง 5 กองทุนนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการลงทุนเพื่อ “เงินปันผลระยะยาว”