ค่าเงินบาทวันนี้(25 พ.ค.) ‘อ่อนค่า’ จาก ดอลลาร์แข็งค่า- กังวลเพดานหนี้สหรัฐ
“ค่าเงินบาท”เปิดตลาดวันนี้”อ่อนค่า”ที่34.67บาทต่อดอลลาร์ “กรุงไทย” ชี้จากจังหวะการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์- เจรจาขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ ยังไม่คืบ- โฟลว์ซื้อทองคำจังหวะย่อตัว แต่นักลงทุนต่างชาติเริ่มชะลอขายหุ้นไทย มองกรอบเงินบาทวันนี้ 34.45-34.75 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (25 พ.ค.) ที่ระดับ 34.67 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.55 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ34.45-34.75 บาทต่อดอลลาร์
สำหรับ แนวโน้มค่าเงินบาท ในช่วงคืนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทได้ปรับตัวอ่อนค่าลงต่อเนื่อง เข้าใกล้โซนแนวต้าน 34.70-34.75 บาทต่อดอลลาร์ อีกครั้ง ตามจังหวะการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ รวมถึงโฟลว์ซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว
เรามองว่า เงินบาท มีโอกาสอ่อนค่าลงต่อได้ในวันนี้แต่การอ่อนค่าของเงินบาทอาจไม่ได้รุนแรงมากจนทะลุโซนแนวต้านสำคัญ หรืออาจไม่ได้อ่อนค่าจนทะลุระดับ 34.75 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากแรงขายสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาตินั้นเริ่มลดลง ดังจะเห็นได้จากการที่นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นสุทธิราว -540 ล้านบาท และขายบอนด์สุทธิเกือบ -1 พันล้านบาท ในวันก่อนหน้า
นอกจากนี้ เราประเมินว่า ผู้เล่นบางส่วนอาจรอจังหวะเงินบาทอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้านในการขายทำกำไรสถานะShort THB และผู้เล่นบางส่วนก็อาจเริ่มกลับมา Long THB บ้าง (แต่ยังคงไม่เยอะมาก)
นอกจากนี้ เนื่องจากเงินบาทยังขาดปัจจัยหนุนฝั่งแข็งค่า โดยเฉพาะหากนักลงทุนต่างชาติยังไม่กลับมาซื้อสินทรัพย์ไทยชัดเจน เราประเมินว่า แนวรับของเงินบาทก็อาจยังคงอยู่ในช่วง 34.30-34.40 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเราเห็นผู้เล่นบางส่วน อาทิ ผู้นำเข้าทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์ในช่วงปลายเดือน
ทั้งนี้ เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูงจากทั้งปัจจัยการเมืองสหรัฐฯ (ประเด็นขยายเพดานหนี้) และการเมืองไทย ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
การเจรจาขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ ที่ยังไม่มีสัญญาณความคืบหน้าที่ชัดเจน ยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันให้ผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เดินหน้าลดความเสี่ยงพอร์ตอย่างต่อเนื่อง (Risk-Off) อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง จากรายงานการประชุมเฟดล่าสุด (FOMC Meeting Minutes) ที่ระบุว่า เจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ต่างมองว่า การเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่ออาจมีความจำเป็นน้อยลง ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า เฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ5.00-5.25% ได้ในการประชุมเดือนมิถุนายน ซึ่งมุมมองดังกล่าวของผู้เล่นในตลาดได้หนุนให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ รีบาวด์ขึ้นได้บ้าง แต่โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.73%
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ดิ่งลงแรงกว่า -1.81% โดยมีลักษณะเป็นการเทขายหุ้นทุกกลุ่ม ท่ามกลางแรงกดดันจากรายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (Ifo Business Climate) ที่ออกมาแย่กว่าคาด รวมถึงรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของอังกฤษ ที่ยังคงอยู่ในระดับสูงและเพิ่มโอกาสที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อ (ผู้เล่นในตลาดเริ่มมองว่า BOE อาจขึ้นดอกเบี้ยจนแตะระดับ 5.00% ในปีนี้) นอกจากนี้การเจรจาขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ ที่ยังไม่มีความชัดเจนก็เป็นอีกปัจจัยที่กดดันบรรยากาศในตลาดหุ้นยุโรป
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์(DXY) ได้ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 103.9 จุด โดยมีปัจจัยหนุนมาจากทั้งการอ่อนค่าลงของสกุลเงินฝั่งยุโรป (EUR, GBP) ตามแรงขายหุ้นยุโรป นอกจากนี้ ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดยังคงทำให้ผู้เล่นบางส่วนเลือกที่จะถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) อนึ่ง เราคงมองว่า การปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์ยังคงถูกจำกัดอยู่ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดยังคงมีความกังวลต่อแนวโน้มการเจรจาขยายเพดานหนี้ ทำให้ผู้เล่นในตลาดอาจเน้นขายทำกำไร ในจังหวะที่เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ส่วนในฝั่งราคาทองคำ แม้ว่าตลาดการเงินโดยรวมจะอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง แต่การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และราคาทองคำก็เป็นปัจจัยที่กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย.) พลิกกลับมาย่อตัวลงสู่ระดับ 1,960ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นโซนแนวรับของราคาทองคำในระยะสั้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจเข้ามาซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ทำให้โฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงคืนที่ผ่านมา
สำหรับวันนี้ ในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านประมาณการครั้งที่ 2 ของอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสแรก (GDP Q1/2023) และรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) รวมถึงยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานต่อเนื่อง (Continuing Jobless Claims)
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา ความคืบหน้าของการเจรจาขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด รวมถึงรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดเพื่อประเมินโอกาสที่เฟดจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อหรือยุติการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิถุนายน