บลจ.บัวหลวง แจงยิบลงทุนในหุ้น STARK ยันซื้อขายหุ้นในกองทุนไม่มีรับเงินถอน

บลจ.บัวหลวง แจงยิบลงทุนในหุ้น STARK ยันซื้อขายหุ้นในกองทุนไม่มีรับเงินถอน

บลจ.บัวหลวง ส่งหนังสือแจงการลงทุนในหุ้น STARK และข้อสงสัยเรื่องการลงทุนของกองทุนรวมภายใต้การบริหาร ยันซื้อขายหุ้นในกองทุนต่างๆ ไม่มีรับเงินถอน

นายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา Chief Executive Officer บลจ.บัวหลวง (BBLAM) ชี้แจงเรื่องกระบวนการลงทุนของ บลจ.บัวหลวงใน บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) ว่า บริษัทได้ทำการวิเคราะห์ และเริ่มลงทุนหุ้นSTARK ให้กองทุนต่างๆ มาตั้งแต่ปี 2563 โดยมองเห็นโอกาสการเติบโตในระยะยาวจากธุรกิจสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลทั้งในประเทศไทย และประเทศเวียดนาม ที่มีแนวโน้มขยายตัวตามการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ซึ่งผลประกอบการตามที่ปรากฏในงบการเงินของกิจการที่ผ่านการตรวจสอบ และรับรองจาก Auditor ก็เป็นไปในทิศทางที่ดีอย่างต่อเนื่อง

จนกระทั่ง STARK ได้ประกาศดีลเข้าซื้อ LEONI ในช่วงเดือนพ.ค.2565 และออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายต่อบุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ซึ่งยิ่งทำให้ผู้จัดการกองทุนเห็นโอกาสของการเติบโตจึงได้เข้าร่วมลงทุนในหุ้นของ STARK เช่นเดียวกับผู้ลงทุนสถาบันทั้งในประเทศ และต่างประเทศอีกหลายแห่ง

บลจ.บัวหลวง แจงยิบลงทุนในหุ้น STARK ยันซื้อขายหุ้นในกองทุนไม่มีรับเงินถอน

เมื่อ STARK ประกาศยกเลิกดีลการซื้อกิจการ LEONI กองทุนก็ได้ทยอยขายหุ้น STARK เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุน เนื่องจากเริ่มเห็นสัญญาณที่แย่ลง ของปัจจัยพื้นฐานตามข้อมูลที่ปรากฏ และติดตามข้อมูลของบริษัทอย่างใกล้ชิด จนกระทั่งหุ้น STARK ถูกตลาดหลักทรัพย์ฯ ระงับการซื้อขายไปตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.2566 เนื่องจากไม่สามารถนำส่งงบการเงินประจำปี 2565 ได้ (ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดให้มีการซื้อขายอีกครั้งเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2566)

บริษัทได้ติดตามเหตุการณ์ของหุ้น STARK มาโดยตลอด และได้ส่งทีมนักวิเคราะห์เข้าชมโรงงาน Phelps Dodge ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ STARK เพื่อประเมินความสามารถในการดำเนินกิจการของบริษัทด้วยความระมัดระวัง รวมถึงใช้ข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือต่างๆ ตามที่ปรากฏ เพื่อประมาณมูลค่ายุติธรรมของหุ้น STARK ขึ้นมาใหม่ และขายหุ้นออกบางส่วนเพื่อลดความเสี่ยง โดยประเมินเบื้องต้นว่า บริษัทยังคงสามารถดำเนินกิจการได้ จึงไม่ได้ขายหุ้นออกไปทั้งหมด และรอการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่ผ่านการรับรองโดยผู้สอบบัญชีในวันที่ 16 มิ.ย.2566 เพื่อใช้ประเมินการลงทุนในหุ้น STARK ต่อไป

บลจ.บัวหลวง แจงยิบลงทุนในหุ้น STARK ยันซื้อขายหุ้นในกองทุนไม่มีรับเงินถอน

บริษัทขอเรียนว่าเป้าหมายของกองทุนรวมคือ มุ่งหวังผลตอบแทนจากพอร์ตโดยรวมที่มีการลงทุนกระจายในกิจการต่างๆ ที่เรามองเห็นโอกาส พยายามเฟ้นหากิจการที่มีโอกาสเติบโต สร้างผลกำไรที่ยั่งยืนในอนาคต และกระจายการลงทุนไปในหลายๆ หลักทรัพย์เพื่อลดความเสี่ยงกับลดผลกระทบในกรณีที่ผลประกอบการหรือราคาหุ้นของบางกิจการในพอร์ตไม่เป็นดังคาด ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เป็นปกติในการลงทุนที่มิอาจลงทุนแล้วประสบผลสำเร็จได้ในทุกกิจการ

“ท้ายนี้ ขอเรียนยืนยันกับผู้ลงทุนว่าบริษัทยังคงยึดมั่นกับแนวทางการลงทุนที่ถือปฏิบัติมาต่อเนื่องยาวนานเป็นระยะเวลา 30 ปี ตั้งแต่จัดตั้งบริษัท โดยยึดมั่นในผลประโยชน์ของลูกค้าเป็นสำคัญ และขอย้ำว่าการตัดสินใจซื้อขายหุ้นให้กองทุนต่างๆ นั้น มิได้มีการรับเงินทอนหรือกระทำทุจริตผิดต่อจรรยาบรรณวิชาชีพแต่ประการใดทั้งสิ้น”

บลจ.บัวหลวง ยังได้ชี้แจงข้อสงสัยเรื่องการลงทุนของกองทุนรวมภายใต้การบริหารว่า 

1. มีกระบวนการลงทุน และการตัดสินใจลงทุนอย่างไร

บริษัทมีกระบวนการลงทุนที่เป็นไปตามหลักสากล มีคณะกรรมการจัดการกองทุน (Investment Committee หรือ IC) ดูแล ซึ่งประกอบไปด้วยทีมงานผู้จัดการกองทุน ทีมงานนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ทีมเศรษฐกิจ ที่มีประสบการณ์ และมีผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ทั้งหลักทรัพย์ไทย และต่างประเทศ ทั้งนี้ IC ยึดมั่นที่จะแสวงหาผลตอบแทนในระยะยาวด้วยกระบวนการพิจารณาที่เป็นมาตรฐาน และเป็นไปตามหลักวิชาชีพ โดยมีการกระจายความเสี่ยงที่เหมาะสม

ในการพิจารณาว่าหลักทรัพย์ใดสามารถลงทุนได้นั้น IC ใช้กระบวนการกลั่นกรองคัดเลือกหลักทรัพย์ของบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีแนวโน้มที่จะเจริญเติบโต และให้ผลตอบแทนที่ดีอย่างสมเหตุสมผลโดยเริ่มจากเฟ้นหาธุรกิจที่สอดคล้องกับความต้องการในปัจจุบัน และอนาคต (Identified Themes) เช่น สังคมผู้สูงอายุ การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นต้น

จากนั้นจะพิจารณาหากิจการที่มีความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ยั่งยืน (Durable Competitive Advantages) จากความสามารถในการแข่งขันในตลาด สถานะการเงิน สินค้า และบริการที่เป็นที่ต้องการรวมถึงการให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ของกิจการ

เมื่อได้รายชื่อของกิจการที่มีความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ยั่งยืนแล้ว จึงจะดูลึกถึงโอกาสของการเติบโต (Growth Factors) จากแนวโน้มของกิจการ ความสามารถในการทำกำไร กระแสเงินสด และความยั่งยืนของกิจการ โดยประเมินความเหมาะสมในด้านมูลค่า (Valuation) จากงบการเงิน อัตราส่วนทางการเงินต่างๆ จากแหล่งข้อมูลที่ผ่านการรับรอง น่าเชื่อถือ อย่างงบการเงินที่รับรองโดยผู้สอบบัญชีบทวิเคราะห์ต่างๆ รวมถึงการเข้าไปเยี่ยมชมกิจการ (Company Visit) แล้วจึงจะนำข้อมูลที่ได้มาทำการวิเคราะห์เองภายในบริษัท เพื่อกลั่นกรองว่าหลักทรัพย์ใดมีคุณภาพเพียงพอต่อการพิจารณาลงทุน

รายชื่อหลักทรัพย์ต่างๆ ที่ผ่านการพิจารณากลั่นกรองเป็นลำดับแล้วนั้น เมื่อ IC พิจารณาอนุมัติแล้วจะเข้าไปอยู่ใน Investment Universe ซึ่งเป็นกลุ่มหลักทรัพย์ที่ให้ผู้จัดการกองทุนเลือกลงทุนได้ตามความเหมาะสมกับนโยบายของแต่ละกองทุน หาก เป็นหลักทรัพย์ที่ไม่ได้อยู่ใน Investment Universe ผู้จัดการกองทุนจะลงทุนมิได้

บลจ.บัวหลวง แจงยิบลงทุนในหุ้น STARK ยันซื้อขายหุ้นในกองทุนไม่มีรับเงินถอน

2.การลงทุนในกิจการใหม่ๆ มีความเสี่ยงเกินไปหรือไม่

การแสวงหาโอกาสจากการเติบโตระยะยาวตามเมกะเทรนด์ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เป็นสิ่งจำเป็นในการสรรหากิจการที่น่าลงทุนให้กองทุน สำหรับประเทศไทยนั้นการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าในเรื่องเทคโนโลยี พลังงานสะอาด ด้านโครงสร้างประชากร และพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่คือ เมกะเทรนด์ที่โดดเด่น มีกิจการใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องเกิดขึ้นมากมาย การลงทุนในกิจการต่างๆ เหล่านี้คือ โอกาส หากการเติบโตเป็นไปตามคาดการณ์

ผู้จัดการกองทุนทราบดีว่าการลงทุนในกิจการใหม่ๆ เหล่านี้มีความท้าทาย รวมถึงผลประกอบการมีความผันผวนสูงโดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงได้เร็ว และส่งผลต่อกำไรขาดทุน และโอกาสของกิจการได้ง่าย จนทำให้หุ้นบางตัวมีผลประกอบการไม่เป็นดังคาด และมีราคาลดลง

เมื่อไม่เป็นไปตามคาด ผู้จัดการกองทุนก็อาจจะปรับสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมตามมุมมองที่มีต่อกิจการ นั้นๆ และนโยบายของกองทุนนั้นๆ ได้ อย่างไรก็ดี หากผู้จัดการกองทุนมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องระยะสั้นชั่วคราวก็สามารถรอคอยการเติบโตของผลกำไรในอนาคต แม้ผลประกอบการปัจจุบันที่ปรากฏตามงบการเงินจะยังไม่สะท้อนมูลค่าที่คาดหวัง ก็สามารถถือต่อหรือแม้แต่จะลงทุนเพิ่มก็ได้

ทั้งนี้ ข้อมูลการซื้อขายหลักทรัพย์ตามที่ปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์เป็นเพียงข้อมูลบางส่วนของการซื้อขายเท่านั้น บริษัทขอเรียนว่าหลายกิจการมีการลงทุนให้กองทุนมายาวนาน มีการทยอยสะสม ซื้อขายทำกำไร มีการปรับสัดส่วนการลงทุนเรื่อยมา และได้สร้างผลกำไรให้กับกองทุนในด้านราคารวมถึงได้รับเงินปันผลมาอย่างต่อเนื่อง การจะดูภาพรวมของการลงทุนในกิจการต่างๆ ต้องดูผลลัพธ์ว่าตลอดระยะเวลาที่ลงทุนได้กำไรขาดทุนเพียงใด ไม่ใช่เลือกดูเป็นบางธุรกรรมการซื้อขาย

3. เหตุใดจึงลงทุนปริมาณสูงในหุ้นบางตัวจนบางกองทุนกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของหุ้นนั้นๆ

บริษัทมีทรัพย์สินภายใต้การบริหารเฉพาะกองทุนหุ้น (ทั้งกองทุนเปิดทั่วไปและกองทุนลดหย่อนภาษี ณ ปัจจุบัน แต่ไม่นับกองทุนประเภท FIF) รวมกันประมาณ 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งหลายกองทุนมีขนาดใหญ่ เช่น บัวหลวงหุ้นระยะยาว (B-LTF) ที่มีขนาดกองทุนประมาณ 45,000 ล้านบาท จัดตั้งกองทุนตั้งแต่ 13 พ.ย. 2547 และบัวหลวงหุ้นระยะยาว 75/25 (BLTF75) ที่มีขนาดกองทุนประมาณ 25,000 ล้านบาท จัดตั้งกองทุนตั้งแต่ 18 พ.ค. 2550

จากขนาดกองทุนที่ใหญ่ ทำให้การลงทุนในหุ้นแต่ละตัวอาจจำเป็นต้องลงทุนในปริมาณที่ส่งผลต่อความคุ้มค่าในการบริหารพอร์ตโดยรวมของกองทุนฯ ซึ่งทำให้ปรากฏรายชื่อกองทุนเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของกิจการนั้นๆ แต่เมื่อพิจารณาสัดส่วนของหุ้นที่ลงทุนในแต่ละกองทุนจะพบว่าสัดส่วนหุ้นแต่ละตัวในกองทุนไม่สูงเกินไปเนื่องจากแต่ละกองทุนได้มีการกระจายการลงทุนไปในหุ้นหลายๆ ตัวเพื่อลดความเสี่ยง ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวทั้ง 2 กองทุนในปัจจุบันมีการลงทุนในหุ้นประมาณ 70 ตัว

4. ทำไมต้องซื้อหุ้นบางตัวเข้ากองทุนแบบ Big Lot

Big Lot คือ การซื้อขายหลักทรัพย์ในกระดานที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดไว้สำหรับนักลงทุนรายใหญ่ เช่น นักลงทุนสถาบัน หรือเจ้าของกิจการ เป็นต้น การซื้อ Big Lot จะเป็นประโยชน์สำหรับนักลงทุนรายใหญ่อย่างกองทุนรวมที่ต้องลงทุนในจำนวนหุ้นที่มากเพื่อให้ได้ปริมาณหุ้นมากพอที่จะคุ้มค่าต่อการลงทุนในกองทุนที่มีขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นขนาดกลาง และขนาดเล็กมักไม่ได้มีปริมาณการซื้อขายต่อวันมากเหมือนหุ้นขนาดใหญ่ และหากจะไปไล่ซื้อในตลาดก็จะเป็นการไล่ราคาให้สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว (หมายรวมถึงราคาที่ลดลงอย่างรวดเร็วกรณีขายหุ้นด้วย) ซึ่งอาจถูกพิจารณาได้ว่ามีการไล่ซื้อเพื่อดันราคาหุ้น หรือไล่ทุบหุ้นให้ราคาต่ำลงหากเป็นกรณีขายหุ้น

บลจ.บัวหลวง แจงยิบลงทุนในหุ้น STARK ยันซื้อขายหุ้นในกองทุนไม่มีรับเงินถอน

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์