'กองทุน' แนะธีมลงทุนครึ่งปีหลัง66 ชู‘ตราสารหนี้-หุ้น’ต่างประเทศเด่น
ช่วงครึ่งหลังปี 2566 เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนจากประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่าง สหรัฐฯและยุโรปยังมีความเสี่ยงเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจถดถอย ประกอบกับดอกเบี้ยนโยบายยังคงทรงอยู่ในระดับสูง
ขณะที่ปัจจัยในประเทศ ยังต้องติดตามปัจจัยการเมืองโดย“ผู้จัดการกองทุน”มีมุมมองว่าการลงทุนต่างประเทศจะให้ผลตอบแทนดีในช่วงครึ่งปีหลัง
วจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานวางแผนกลยุทธ์ บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า เรายังมีมุมมองเป็น “กลาง” ต่อตลาดหุ้นต่างประเทศ อย่างหุ้นสหรัฐ หุ้นอินเดีย หุ้นจีน โดยนักลงทุนสามารถพิจารณาทยอยเข้าสะสมได้ แต่ในสัดส่วนที่ไม่สูงนัก
ขณะที่ฝั่งการลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ เรายังมีมุมมองเป็นบวกทั้งตราสารหนี้ระยะสั้นถึงปานกลาง จากการปรับดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางทั่วโลก เริ่มใกล้ถึงจุดสูงสุดของวัฏจักร เงินเฟ้อที่เริ่มปรับตัวลงแล้ว ประกอบกับโอกาสการเกิดเศรษฐกิจถดถอย ( Recession ) จะส่งผลดีต่อตราสารหนี้ซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย โดยแนะนำให้เน้นลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพสูง (Investment Grade) มากกว่าตราสารหนี้ High Yield
สำหรับธีมการลงทุนต่างประเทศครึ่งปีหลังที่โดดเด่น ได้แก่ 1. ธีมวัฏจักรของเงินเฟ้อผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และดอกเบี้ยนโยบายของเฟดกำลังจะผ่านพ้นจุดสูงสุด และมีโอกาสปรับลดลงบ้างในปีนี้ หากเกิดเศรษฐกิจถดถอย บลจ.กสิกรไทย มองว่า วัฏจักรนี้จะส่งผลบวกต่อ “ตราสารหนี้ และ REIT “ เนื่องจากความเสี่ยงจากการขึ้นดอกเบี้ยเริ่มลดลง หนุนตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนที่สูงได้ และช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตลงทุน
2. ธีมเศรษฐกิจถดถอย แม้ว่าเศรษฐกิจถดถอยอาจจะชะลอออกไป แต่ก็ยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้ในปี 2567 ดังนั้น เราจึงยังคงมุมมองต่อตลาดหุ้นเป็น “กลาง” 3. ธีมการลงทุน ยึดหลัก ESG และ4.ธีมการเติบโตประเทศในเอเชีย
“ในครึ่งปีหลัง บลจ.กสิกรไทย ยังคงมีมุมมองค่อนข้างบวกต่อหุ้นในเอเชีย และมองว่าความเสี่ยงเริ่มลดลง ในขณะที่ประเทศเหล่านี้ยังคงมีการเติบโตในระยะยาว”
บดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในมิติของการลงทุนเราประเมินว่า กลุ่มของหุ้นที่เป็นกลุ่มมูลค่า (Value) ซึ่งเป็นกลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอาจได้รับผลกระทบเชิงลบที่ชัดเจนขึ้นจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
ขณะที่กลุ่มเติบโตและกลุ่มเทคโนโลยีอาจได้รับผลกระทบที่น้อยกว่า และอาจได้รับประโยชน์จากการลดดอกเบี้ยของเฟด ( Fed ) แต่เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรกกลุ่มเทคฯทำผลตอบแทนไปแล้วกว่า30% ทำให้ในครึ่งปีหลังผลตอบแทนคาดการณ์อาจไม่เท่ากับช่วงครึ่งปีแรก คาดว่าอาจอยู่ในระดับ 5-8%
และอีกหนึ่งสินทรัพย์ที่น่าสนใจสำหรับป้องกันความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยคือ ตราสารหนี้ภาครัฐของสหรัฐ เพราะเมื่อย้อนไปดูช่วงวิกฤติเศรษฐกิจแทบทุกครั้งจะพบว่าสามารถสร้างผลตอบแทนเป็นบวกได้ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับที่น่าสนใจทำให้เป็นอีกสินทรัพย์น่าลงทุน
ขณะที่การลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังนักลงทุนอาจต้องระมัดระวังและกระจายความเสี่ยงที่เหมาะสม จึงแนะนำว่าผู้ที่รับความเสี่ยงระดับปานกลางนั้นควรจัดพอร์ตลงทุนตราสารทุนและตราสารหนี้ผสมกันในสัดส่วน 50 : 50
โดยมีหุ้น 50 %แบ่งเป็นหุ้นโลก 20% เอเชีย10% จีน 5% เวียดนาม 5% และหุ้นไทย 10% ส่วนตราสารหนี้ 50% แบ่งแป็น ตราสารหนี้ไทย 15% และตราสารหนี้ต่างประเทศ 35% โดยพอร์ตการลงทุนนี้คาดการณ์ผลตอบแทน 5-7% (ผลตอบแทนเป็นเพียงการประมาณการณ์ไม่ได้เป็นการการันตี)