อนาคต ‘หุ้นอินเดีย’ ควรมีติดพอร์ต กองทุนคาดอีก5 ปี ‘ผลตอบแทน’ดีสุด
กองทุนมองบวก “หุ้นตลาดเกิดใหม่” มอง 5 ปีข้างหน้า มีบทบาทในโลกการลงทุนมากขึ้น ชี้ “หุ้นอินเดีย” ผลตอบแทนที่ดีที่สุด “จิตตะเวลธ์” เปิด 5 หุ้นอินเดีย รายได้แจ่ม “กสิกรไทย” ปรับมุมมองหุ้นอินเดียดีขึ้น แต่ยังมีความเสี่ยงราคาหุ้นค่อนข้างสูง แนะลงทุน5-10%ของพอร์ต
Key points:
- กองทุนมองบวก "ตลาดเกิดใหม่” ในเอเชีย 5 ปีข้างหน้า คาดผลตอบแทนเฉลี่ยราว 11% ต่อปี และคาด “หุ้นอินเดีย” มีผลตอบแทนที่ดีที่สุด
- “ตลาดหุ้นอินเดีย” ปรับตัวขึ้น 8% ตั้งแต่ต้น outperform ตลาดอื่น จากเศรษฐกิจอินเดียโตเด่น บจ.มีแนวโน้มกำไรเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะภาคการธนาคาร มีงบดุลแข็งแกร่ง บรรยากาศการลงทุนฟื้นตัวทิศทางดีขึ้น
- แต่ยังมีความเสี่ยงราคาหุ้นค่อนข้างสูง แนะลงทุน5-10%ของพอร์ต
ที่ผ่านมานักลงทุนอาจจะมองข้ามการลงทุนในตลาดเกิดใหม่อย่างเอเชีย จากผลตอบแทนที่อาจจะยังต่ำกว่าสินทรัพย์ในภูมิภาคอื่นของโลก ไม่ว่าจะเป็นหุ้นหรือตราสารหนี้ ทั้งที่การเติบโตของภูมิภาคเอเชียคิดเป็น 70% ของ GDP โลกแต่เชื่อว่าในระยะ 5 ปีข้างหน้าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนมากขึ้น โดยผลตอบแทนของภูมิภาคเอเชียจะสอดคล้องกับภูมิภาคมากขึ้น
ทั้งนี้หลายประเทศในตลาดเกิดใหม่ที่มีการเติบโตอย่างโดดเด่นและมีความน่าสนใจ เช่น อินเดีย (6.0%) ที่มีอัตราการเติบโตของ GDP อันดับต้นๆ ของโลก หรือประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อต่ำ เช่น จีนที่เพิ่มขึ้นเพียง 0.2% ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา หรือแนวโน้มการขยายฐานการผลิตของเทคโนโลยีใหม่ๆ หลั่งไหลมาสู่เวียดนามหรือไทยมากขึ้น
“ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.จิตตะ เวลธ์ กล่าวว่า “หุ้นตลาดเกิดใหม่” ในเอเชียคาดว่าจะมีผลตอบแทนที่ดีกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่นๆในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยมีการคาดการณ์ว่าผลตอบแทนเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 11% ต่อปี โดยเฉพาะอินเดีย คาดว่าจะมีผลตอบแทนที่ดีที่สุดหากเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาค
ทิศทางเศรษฐกิจอินเดียในปี 2566 ยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อได้ แม้ว่าเศรษฐกิจโลกบางประเทศยังได้รับผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐในช่วงที่ผ่านมา โดยองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ได้คาดการณ์ว่าการเติบโตของอินเดียปีนี้จะเติบโต 6% โดดเด่นกว่าจีนด้วยได้แรงหนุนจากปัจจัยต่างๆ เช่น ราคาพลังงานที่ลดลง ปัญหา Supply chain ที่ผ่อนคลายและการจ้างงานที่แข็งแกร่ง
ในส่วนของผลประกอบการของภาคธุรกิจในอินเดีย ยังมีแนวโน้มที่ดี มีผลกำไรที่เพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นราคาสินค้าขณะที่หนี้สินภาคธุรกิจมีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะภาคการธนาคารที่มีงบดุลที่แข็งแกร่ง บ่งชี้ถึงศักยภาพในการฟื้นตัวของบรรยากาศการลงทุนในทิศทางที่ดีขึ้น
โดย "หุ้นอินเดีย 5 อันดับแรก" ที่ Jitta.com พบว่ามีการเติบโตของรายได้ที่ดีและได้จัด Ranking ไว้ ณ วันที่ 25 ก.ค. 2566 ตามลำดับดังนี้ State Bank of India , West Coast Paper Mill limited, Bank of Baroda Limited, Andhra Paper limited และ GHCL limited โดยในปี 2565 แต่ละบริษัทมีการเติบโตของรายได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ระดับ13.01%, 45.69%, 24.24%, 51.98% และ 48.93% ตามลำดับ
“วจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์” รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง เรามองว่ามีโอกาสที่เศรษฐกิจของตลาดประเทศเกิดใหม่จะค่อยๆฟื้น แนะนำให้ลงทุนในประเทศที่ปัจจัยภายในประเทศแข็งแกร่ง จากการบริโภคภายในประเทศ เช่น อินเดีย
พร้อมปรับมุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นอินเดียขึ้นเป็น Slightly Positive (จาก Neutral) ในแง่ของปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ อินเดียค่อนข้างโดดเด่น ด้วยโครงสร้างของเศรษฐกิจที่เน้นการบริโภคภายในประเทศ บวกกับจำนวนประชากรที่เยอะมากที่สุดมากในโลก คาดจะเห็น GDP เติบโตได้ดีในปีนี้ และจะสามารถเติบโตได้เกิน 6% ไปอีกอย่างน้อย 2 ปี
นอกจากนี้ คาดว่าการขึ้นดอกเบี้ยของอินเดียน่าจะสิ้นสุดแล้ว หลังเงินเฟ้อลดลงต่อเนื่อง โดยดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันที่ 6.5% มากกว่าระดับเงินเฟ้อที่ 4.8% พอสมควร อีกปัจจัยที่ทำให้ภาพการลงทุนในอินเดียดูดีขึ้น คือการขาดดุลการค้าที่ลดลงต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี รวมถึงทุนสำรองระหว่างประเทศของอินเดียที่อยู่ในระดับที่สูง จะทำให้ค่าเงินของอินเดียมีเสถียรภาพมากขึ้น
“ตลาดหุ้นอินเดีย” ปรับตัวขึ้นประมาณ 8% ตั้งแต่ต้นปี ถือว่า outperform ตลาดอื่นๆในเอเชีย โดยในช่วงระยะสั้นที่ผ่านมา เม็ดเงินจากนักลงทุนในประเทศมีบทบาทมากขึ้นในตลาดหุ้นอินเดีย ช่วยลดความผันผวนของตลาดในช่วงที่เม็ดเงินจากต่างชาติไหลออกได้
อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงของอินเดีย คือราคาหุ้นที่ค่อนข้างสูง ทำให้นักลงทุนอาจยังไม่กล้าเข้าลงทุน แต่หากพิจารณาการเติบโตของกำไร ก็สูงเช่นกัน ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของตลาดอินเดีย
มองว่าราคาหุ้นอินเดีย ณ ปัจจุบัน ถือว่าสมเหตุสมผล และเข้าลงทุนได้ โดยหากอ้างอิงกับสัดส่วนของหุ้นอินเดียในดัชนีหุ้นโลกที่ค่อนข้างน้อย ที่ประมาณ 1.5% เราจึงแนะนำสัดส่วนหุ้นอินเดียในพอร์ตที่ 5-10%