5 อันดับ 'กองทุน ESG' ที่ลงทุนในไทย ผลตอบแทนมาแรงสุดในรอบ3ปี
กองทุนรวม TESG เป็นความหวังหนึ่งของตลาดทุนไทยช่วงปลายปีนี้ เข้ามาพยุงตลาดได้บางส่วน ลองมาดูแนวทาง "กองทุน ESG" ที่มีการลงทุนในไทย ช่วงที่่ผ่านมาพบว่า ผลตอบแทนในรอบ 3 ปี ยังเป็นบวกสวนกระแสตลาดการลงทุนปีนี้ติดลบ นำโดย กองทุน TISESGD มีผลตอบแทน 3 ปี 9.70% ต่อปี
นับเป็นข่าวดีสำหรับนักลงทุน ที่ทางภาครัฐมีแนวคิดที่จะจัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund) หรือ กองทุนรวม TESG เพื่อช่วยพยุงตลาด รวมทั้งสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ โดยมีลักษณะคล้ายกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ( LTF) แต่มุ่งเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่ให้ความสำคัญในเรื่องของ ESG
โดยในวันที่ 8 ธ.ค.นี้ ที่สำนักงานคณะกรรมการหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทาง สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมเปิดขาย กองทุนรวม TESG ล็อตแรกจะมีทั้งสิ้น 22 กองทุน จาก 16 บลจ.
มีคาดหวังมีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนใน กองทุนรวม TESG เพื่อลดหย่อนภาษี ในงวดปี 2566 วางเป้าหมาย 10,000 ล้านบาท ช่วยสนับสนุนบรรยากาศตลาดหุ้นไทยดีขึ้นได้บ้างส่วน ซึ่งเป็นจังหวะที่ดีสำหรับการออกกองทุนดังกล่าว เนื่องจากระดับดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงมามากแล้ว
ท่ามกลางตลาดหุ้นไทยผัวผนวนตลอดปีนี้ แต่อย่างน้อยการลงทุนเพื่อความยั่งยืน (ESG) ในกองทุนยั่งยืนในประเทศไทย (กองทุน ESG) ยังให้ผลตอบแทนระยะยาวอย่างน้อย 3 ปี เป็นบวกได้
เราลองมาดูกันว่า "กองทุน ESG" ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด มีกองทุนไหนกันบ้าง เพื่อไว้เป็นแนวทางในการเลือกลยุทธ์การลงทุน ใน กองทุนรวม TESG
"5 อันดับกองทุน ESG ลงทุนในไทย และมีผลตอบแทนดีที่สุดในรอบ 3 ปี" รายงานโดย มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) มีดังนี้
1.กองทุนเปิด ทิสโก้ ESG เพื่อสังคม (TISESGD) มีผลตอบแทน (YTD) -14.46% ผลตอบแทน 3 ปี 9.70% ต่อปี
2.กองทุนเปิดเคเคพี SET50 ESG ชนิดเพื่อการออมพิเศษ (KKP SET50 ESG SSFX) มีผลตอบแทน(YTD) -11.62% ผลตอบแทน 3 ปี 8.30% ต่อปี
3.กองทุนเปิด ทิสโก้ หุ้นไทย Well-being (TISCOWB-A) มีผลตอบแทน(YTD) -17.21% ผลตอบแทน 3 ปี 7.22% ต่อปี
4.กองทุนรวมคนไทยใจดี (BKIND) มีผลตอบแทน(YTD) -11.97 % ผลตอบแทน 3 ปี 6.75% ต่อปี
5.กองทุนเปิดเค หุ้นธรรมาภิบาลไทย เพื่อการเลี้ยงชีพ (K Thai Equity CGRMF) มีผลตอบแทน(YTD) -14.60 % ผลตอบแทน 3 ปี 6.00% ต่อปี
ปัจจุบันมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ที่ 4.5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นลงทุนในหุ้นไทย จำนวน 22 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่ 2.5 พันล้านบาท และลงทุนในต่างประเทศ จำนวน 91 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่ 4.3 หมื่นล้านบาท
เรียกว่า กว่า 94% ของกองทุน ESG ที่ขายในไทยส่วนใหญ่ลงทุนในต่างประเทศ โดยมีเงินไหลออกสุทธิตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันทั้งสิ้น 1.8 พันล้านบาท
ปัจจุบันมีเพียง 6 บลจ. เท่านั้นที่มีการออกกองทุน ESG ที่ลงทุนในหุ้นไทย ซึ่งหลังจากนี้เราคงเห็นทุก บลจ. ออกกองทุน ESG กันมากขึ้น
สำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนกองทุนยั่งยืน หรือ กองทุน ESG ทาง มอร์นิ่งสตาร์ก็มีตัวช่วยที่เรียกว่า Globe Rating โดยมีสัญลักษณ์เป็นรูป “โลก” ซึ่งจะเป็นการประเมินความเสี่ยงด้านความยั่งยืน โดยหากกองทุนลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงด้าน ESG สูง เมื่อเทียบกับ Peer ในกลุ่มเดียวกัน ก็อาจจะทำให้กองทุนได้รับเรตติ้ง Globe Rating ที่ต่ำไปด้วย
โดย Globe Rating มีระดับตั้งแต่ 1-5 (5 Globe คือ มีความเสี่ยงด้าน ESG ต่ำสุด) ซึ่งเป็นการนำข้อมูลคะแนนความเสี่ยง ESG ของแต่ละบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกที่ประเมินโดยบริษัท Sustainalytics มาใช้ ทั้งนี้ในปัจจุบันบริษัทจดทะเบียนในไทยได้รับการประเมินรวมกว่า 170 บริษัท ครอบคลุมหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม
การลงทุนอย่างยั่งยืนทั่วโลก
ด้านการลงทุนอย่างยั่งยืนทั่วโลก ยังคงมีเม็ดเงินไหลเข้าที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งภาวะเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยที่อาจเกิดขึ้น สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนเป็นอย่างมาก โดยมีเงินไหลเข้าสุทธิทั้งไตรมาสเพียง 1.37 หมื่นล้านดอลลาร์
และจากสถานการณ์ความผันผวนในตลาดโลก ก็ทำให้กองทุนเพื่อความยั่งยืนทั่วโลกมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิลดลง 4.2% อยู่ที่ระดับ 2.7 ล้านล้านดอลลาร์ ณ สิ้นเดือนกันยายน โดยกองทุนยั่งยืนของยุโรป ยังมีเงินไหลเข้าสุทธิ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ยังเกิดการชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง ประเด็นเรื่อง Greenwashing และความเข้มงวดด้านกฎระเบียบ ทำให้มีกองทุนที่ใส่คำว่า ESG ลงในชื่อกองทุนน้อยลง ในขณะเดียวกัน กลับมีกองทุนจำนวนมากขึ้น ที่กำลังลบคำที่เกี่ยวข้องกับ ESG ออกจากชื่อกองทุนโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา