ลงทุน‘หุ้นจีน’รอครึ่งหลังปี67 'กองทุน'แนะถือไม่เกิน10-15%
ปีนี้ “ตลาดหุ้นจีน” ปรับตัวลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน นับตั้งแต่ตั้นปี 2564 ถึงปัจจุบันมีผลตอบแทน "ติดลบ 40%" ใกล้ระดับที่เคยปรับตัวลงลึกมากกว่าในช่วงปี 2551 และปี 2558 เคยมีผลตอบแทน "ติดลบ 45%" แต่หลังจากนั้นใช้เวลา 2 สัปดาห์ก็ฟื้นตัวขึ้น
ทว่าปัจจุบันยังเผชิญแรงกดดัน 3 ความเสี่ยง คือ 1.เศรษฐกิจจีนฟื้นไม่ชัดเจนปีนี้จีดีพีโต 5% แต่ปีหน้าชะลอลง แต่ยังโต 4.5% 2.ภาคอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์ของจีน ยังได้รับผลกระทบ และไม่ฟื้นตัวอย่างที่นักลงทุนคาดหวัง และ3.เศรษฐกิจทั่วโลกยังฟื้นตัวช้าในปีหน้าจะกระทบต่อภาคการส่งออกของจีนได้
แม้ล่าสุดทางการจีนจะพยายามออกมาตรการทั้งนโยบายการคลังและนโยบายการเงิน เข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ยังเป็น "มาตรการเฉพาะจุด" คาดธนาคารกลางของจีนคงจะปรับลดดอกเบี้ยในปี 2567
รวมถึง จีนคงไม่ทำมาตรการกระตุ้นแบบบิ๊กแพกเกจ เพราะการก่อหนี้ของรัฐบาลท้องถิ่นอยู่ในระดับสูง ภาคอสังหาฯ ของจีนยังซบเซา และที่ผ่านมาทางการจีนออกมาตรการเศรษฐกิจค่อนข้างมากแต่การฟื้นตัวช้ากว่าคาดทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่น
แต่ฝั่งตลาดการลงทุน ยังมีความคาดหวังว่า เศรษฐกิจจีนปี 2567 จะเริ่มนิ่งขึ้นและทยอยฟื้นตัวได้ช่วงครึ่งหลังปี 2567 ไปแล้ว จากมาตรการต่างๆ ของทางการจีนที่ช่วยผลักดันการบริโภคในประเทศยังเติบโตได้มากกว่า
ประกอบกับได้อานิสงส์จากในช่วงนั้นคาดเศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอย ทำให้นักลงทุนเริ่มหันมามองฝั่งตลาดประเทศเกิดใหม่ (EM) ซึ่งจีนยังมีสัดส่วนถึง 30% ของตลาด EM และเฟดปรับลดดอกเบี้ยสหรัฐช่วยหนุนลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง
และที่สำคัญราคาหุ้นจีนปรับตัวลงต่ำสุดในรอบ 20 ปี เป็นโอกาสสำหรับลงทุนหุ้นจีน น่าจะยังดึงดูดเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ได้แน่นอน
แน่นอน ระยะสั้น “ตลาดหุ้นจีน” ยังคงเผชิญกับความเสี่ยงที่รอการแก้ไขปัญหาและการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้น ในมุมมองของ “ผู้จัดการกองทุน” ต่างมองในทิศทางเดียวกันว่า ไตรมาส 4 ปี 2566 จนถึง ไตรมาส 1 ปี 2567 ตลาดหุ้นจีนยังเคลื่อนไหวไซด์เวย์ออกข้าง โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (ณ 5 ธ.ค.66) ดัชนี CHI 300 อยู่ที่ -12% ,HSI อยู่ที่ 17% หรือปรับตัวลงมากกว่าตลาด MSCI World ซึ่งภาพรวมของกองทุนหุ้นจีนในไทยให้ผลตอบแทนสอดคล้องกับดัชนีตลาดหุ้นจีนที่ปรับตัวลง
สำหรับ “กลยุทธ์ลงทุนหุ้นจีน” ระยะสั้นและปีหน้ายังคงเน้นปรับพอร์ตให้เหมาะสมกับความเสี่ยงรักษาสัดส่วนไม่เกิน 10-15% ของพอร์ต
“ดนัย อรุณกิตติชัย” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายบริหารจัดการกองทุน บลจ.บัวหลวง กล่าวว่า เรายังมีคงมีมุมมองเป็นกลาง (Neutral) ยังรอความชัดเจนในอีกหลายประเด็น แต่จากระดับมูลค่าซื้อขายในปัจจุบันที่ค่อนข้างต่ำ (MSCI China ซื้อขายที่ระดับ Forward PE 10.5 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ 12.1 เท่า) ทำให้ Downside Risk อาจไม่มาก และกรณี Moody's กังวลเรื่อง downside ของเศรษฐกิจ รวมถึงภาคอสังหาฯไม่เซอร์ไพร์สนักลงทุนยังคงแนะนำให้ถือกองทุนหุ้นจีนไว้ก่อนระดับ 10-15% ของพอร์ต
“บดินทร์ พุฒอินทร์" ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) แนะนำว่า ระยะสั้นหากเป็นนักลงทุนที่ถือกองทุนหุ้นจีนไว้อยู่แล้วสัดส่วน 15% ขึ้นไป ยังถือไว้ก่อนได้ และรอปรับลดสัดส่วนเมื่อตลาดเริ่มรีบาวนด์ ไปลงทุนกองทุนหุ้นเวียดนามหรืออินโดนีเซียที่เศรษฐกิจในปีหน้าไม่ได้ซบเซา และเมื่อถือครบ 1 ปี ค่อยปรับพอร์ตกลับมาเพิ่มสัดส่วนหุ้นจีน
ส่วนมุมมองระยะกลางถึงยาว ด้วยระดับราคาหุ้นจีนที่ปรับลงมามาก มีความน่าสนใจ หากนักลงทุนยังไม่เคยมีกองทุนหุ้นจีนมาก่อนหรือถือไว้ระดับต่ำกว่า 10% ของพอร์ต รอจังหวะทยอยเข้าสะสมช่วงปลายไตรมาส 1 ปี 67 ที่คาดตลาดดหุ้นจีนเริ่มนิ่งและน่าจะมีโมแมนตัมการฟื้นตัวชัดเจน เน้นหุ้นจีนที่เกี่ยวกับกลุ่มการบริโภคในประเทศ ได้รับผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางจีน มากกว่ากลุ่มเทคโนโลยี และส่งออก ที่จะได้รับผลกระทบในปีหน้า
"ไชยวัฒน์ คมโสภาพงศ์” ผู้ช่วยผู้อำนวยการ กลยุทธ์การลงทุน บลจ.เอ็มเอฟซี แนะนำว่า ปัจจุบันให้สัดส่วนลงทุนหุ้นจีนไม่เกิน 10% ของพอร์ต จากปัจจุบันสัดส่วนหุ้นจีนอยู่ในดัชนีหุ้นโลกไม่เกิน 5% หากเป็นนักลงทุนที่ถือกองทุนหุ้นจีนมาก่อนหน้า และสัดส่วนที่มากกว่าระดับดังกล่าวรอใช้จังหวะตลาดรีบาวด์ปรับลดสัดส่วน
ขณะที่ นักลงทุนที่ยังไม่มีกองทุนหุ้นจีนแนะทยอยสะสม รับผลตอบแทนที่จะกลับมาในระยะกลางถึงยาว โดยเฉพาะหุ้นจีนขนาดกลางและเล็ก ที่มีโอกาสฟื้นตัวกลับมาได้ดีกว่าหุ้นใหญ่ แต่ยังเน้นกลยุทธ์คุมสัดส่วนไม่เกิน 10% ของพอร์ต