เปิด 5 อันดับ'กองทุนทองคำ' ผลตอบแทนสูงสุด เด้งรับ 'ทองคำ' ทำออลไทม์ไฮ
เปิด 5 อันดับ "กองทุนทองคำ " ผลตอบแทนเด้งตาม "ราคาทองคำ" ทำออลไทม์ไฮ ต้นสัปดาห์ก่อน ที่ระดับ 2,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือปรับขึ้นมา 13%และปัจจุบันยังทรงตัวเหนือ 2,000 ดอลลาร์ รอผลประชุดเฟด 13-14 ธ.ค.นี้ ส่งท้ายปี พร้อมยังแนะลงทุนทองคำไม่เกิน 10%ของพอร์ต ช่วยกระจายความเสี่ยง
Key points:
- ราคาทองคำ ทำออลไทม์ไฮ ต้นสัปดาห์ก่อนแตะ 2,120 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากนั้น มีแรงขายทางเทคนิค "ทำกำไร" แกว่งตัวระดับ2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์
- ผลตอบแทน "กองทุนทองคำ" ปรับขึ้นสอดรับมาแล้ว YTD เฉลี่ย + 13%
- 5 อันดับ กองทุนทองคำ ทำผลตอบแทนมากกว่า 10% "กองทุนK-GOLD-C(A) มีผลตอบแทน YTD นำโด่ง 17.84%
- ผู้จัดการกอนทุน มองการลงทุนทองคำ เป็นกลาง ราคาปรับขึ้นมาพร้อมกับความผันผวนเพิ่มขึ้น แต่ยังเป็นสินทรัพย์ทางเลือก ใช้กระจายความเสี่ยง สัดส่วน 5-10% ของพอร์ต
- แนะกลยุทธ์ คุมสัดส่วนในพอร์ตไม่เกินระดับดังกล่าว ขายทำกำไรเพื่อลดพอร์ต-ทยอยสะสมที่1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์เพื่อเพิ่มพอร์ต
ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ “ราคาทองคำ” ทำจุดสูงสุดใหม่ในประวัติศาสตร์ที่ระดับ 2,120 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือมากกว่า 34,300 กว่าบาท
โดยภาพรวมใหญ่ ราคาทอง ยังสามารถยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน และ100วัน ในTF4H โดยเส้นค่าเฉลี่ยดังกล่าวยังทำความชันเป็นบวกต่อเนื่อง และตัดเส้นค่าเฉลี่ย 100 วันในทิศขึ้น อีกทั้งยังเคลื่อนไหวในกรอบคู่ขนานขาขึ้น สะท้อน ทิศทางแนวโน้มขาขึ้นยังแกร่ง
แต่อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำ อาจเผชิญแรงขายทำกำไรทางเทคนิคหลังราคาทองปรับพุ่งแรงเข้าเขตซื้อสูงทำออลไทม์ไฮ และลุ้นการประชุมเฟด 13-14 ธ.ค.นี้ จะมีแนวโน้มเฟดคงหรือลดดอกเบี้ย หรือไม่
หากการประชุมเฟดรอบนี้ คงดอกเบี้ยและเริ่มส่งสัญญาณชัดเจนว่ามีโอกาสลดดอกเบี้ยตั้งแต่ช่วงต้นปีหน้า
สมาคมค้าทองคำ คาดการณ์ว่า ก็มีโอกาสที่ราคาทองคำจะทำ "จุดสูงสุดใหม่ในประวัติศาสตร์" อีกครั้ง
ทั้งนี้ ราคาทองคำ ยังคงรักษาระดับที่ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้เป็นเวลาเกือบสามสัปดาห์ ซึ่งบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นกับแนวโน้มของทองคำในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยทาง สมาคมค้าทองคำ มองว่า สิ้นปีนี้ราคาทองคำ จะยืนเหนือระดับ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือไม่ต่ำกว่า 34,000 บาท แน่นอน
เราลองมาดูกันว่า หากเป็น “กองทุนทองคำ” จะให้ผลตอบแทนเจิดจรัส ...ตามทิศทางราคาทองทำปรับตัวขึ้นทำออลไทม์ไฮรอบนี้ มากน้อยแค่ไหน ข้อมูลจาก มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) พบว่า
5 อันดับ “กองทุนทองคำ” ที่มีผลตอบแทนสูงสุดตั้งแต่ต้นปี (YTD) ณ 7 ธ.ค.2566 ดังนี้
1. กองทุนเปิดเค โกลด์ (K-GOLD-C(A) ) มีผลตอบแทน 17.84%
2.กองทุนเปิดไทยพาณิชย์โกลด์ (SCBGOLDE ) มีผลตอบแทน 13.12%
3.กองทุนเปิดธนชาตทองคำแท่ง-UH (TGoldBullion-UH ) มีผลตอบแทน 12.59%
4.กองทุนเปิดบัวหลวงโกลด์ฟันด์ (BGOLD) มีผลตอบแทน 12.17%
5.กองทุนเปิดกรุงศรีโกลด์ (KF-GOLD) มีผลตอบแทน 12.06%
แนะมีทองคำ ติดพอร์ต 10% ช่วยกระจายความเสี่ยง
แนวโน้มการลงทุนในกองทุนทองคำ “ผู้จัดการกองทุน” มีมุมมองและมีกลยุทธ์การลงทุนอย่างไรนั้น
“วจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์” รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บลจ.กสิกรไทย มองว่า ปัจจุบัน บลจ.กสิกรไทย มีมุมมอง Slightly Positive สามารถลงทุนได้สำหรับผู้ลงทุนใหม่และสามารถลงทุนเพิ่มได้สำหรับผู้ลงทุนเดิมโดยมีสัดส่วนไม่เกิน 5-10% ของพอร์ตการลงทุน
แนะนำให้ลงทุนในทองคำเพื่อลดความผันผวนของพอร์ต ในช่วงที่เศรษฐกิจยังมีความเสี่ยง แต่ไม่ใช่เพื่อการเก็งกำไรและมองเป้าหมายราคาปี 2567 ที่ 2,050 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ขณะที่ บลจ. กสิกรไทย ยังไม่ได้มีการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนทองคำในพอร์ต แต่มีสัดส่วนทองคำไว้เพื่อลดความผันผวน ปัจจุบัน ผลตอบแทนกองทุน K-GOLD-A(A) ปรับตัวเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ต้นปี YTD +7.60% ซึ่งใกล้เคียงกับดัชนีชี้วัดที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น +8.64% (ข้อมูล ณ 30 พ.ย. 66) โดยส่วนต่างมาจากค่าใช้จ่ายและการสำรองสภาพคล่องของกองทุน อย่างไรก็ตามกองทุนมีการป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงิน ทำให้ไม่ได้รับประโยชน์จากการอ่อนค่าของสกุลเงินบาทในปีนี้
และปัจจุบันยังไม่มีแผนการออกกองทุนทองคำใหม่ เนื่องจากกองทุนทองคำของ บลจ. กสิกรไทย มีกองทุนทองคำทั้ง แบบสะสมมูลค่า (K-GOLD-A(A)), แบบจ่ายปันผล (K-GOLD-A(D)) และสำหรับลดหย่อนภาษี (K-GD-RMF) เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนครบถ้วนอยู่แล้ว
“ปิยะภัทร์ ภัทรภูวดล” ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ราคาทองคำตลาดโลก ปรับตัวขึ้นราว 13% และเป็นทิศทางขาขึ้นชัดเจนในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา หลังจากเกิดสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ดันราคาทองคำปรับขึ้นแรงมาแตะระดับ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์รอบหนึ่งก่อนจะพักตัวลง
และต่อจากความคาดหวังนโยบายการเงินของเฟดมีแนวโน้มคงดอกเบี้ยในปลายปีนี้และอาจลดดอกเบี้ยต้นปีหน้า ดอลลาร์อ่อนค่าลง บอนด์ยีลด์ปรับตัวลง สะท้อนโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจสหรัฐถดถอยในปีหน้า กลายเป็นแรงผลักดันให้ราคาทองคำปรับขึ้นมาแตะระดับออลไทม์ไฮรอบใหม่ที่ระดับ 2,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์
และยังแกว่งตัวไซด์เวย์ระดับ 2,000 ดอลลาร์ รอผลการประชุมเฟด 13-14 ธ.ค.นี้ หากเฟดคงดอกเบี้ยและในปีหน้ายังมีความกังวล ปัจจัยเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์และภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกถดถอย ทำให้มีความต้องการ ทองคำ เพิ่มขึ้นจากระดับปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามธรรมชาติ “ราคาทองคำ” จะแกว่งตัวผันผวนเป็นรอบๆ เมื่อราคาทองคำปรับตัวขึ้น ความผันผวนจะเพิ่มขึ้นไปอีก ดังนั้น เรายังมีมุมมองเป็นกลาง ต่อการลงทุนทองคำอยู่
แต่ “ทองคำ” เป็น สินทรัพย์ลงทุนทางเลือก ช่วยกระจายความเสี่ยง แนะว่า นักลงทุนยังต้องมีการลงทุนทองคำ สัดส่วน 5-10% ของพอร์ตลงทุน ในระยะสั้น หากมีสัดส่วนลงทุนทองคำ มากกว่าสัดส่วนดังกล่าว เมื่อราคาปรับขึ้น ให้ทยอยขายทำกำไร และรอจังหวะสลับกลับมาซื้อที่ราคาย่อลงมาที่ 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์
“นักลงทุนควรใช้กองทุนทองคำเป็นการกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตลงทุน มากกว่ามองเป็นการเข้ามาเพื่อเก็งกำไรจากราคาทองคำ เมื่อราคาปรับขึ้นแรง ย่อมมีโอกาสปรับลงแรงเช่นกัน”