จำคุก 335 ปี แก๊งโกงบัตรเครดิต ตระเวนเช่าโรงแรม-อพาร์ตเมนต์ เสียหาย 11 ล้าน
ดีเอสไอ เผยศาลอาญาพิพากษา จำคุก 335 ปี กรณี กลุ่มบุคคลร่วมกันฉ้อโกงบัตรเครดิต ตระเวนหลอกลวงทำสัญญาจะซื้อจะขาย-เช่าโรงแรม อพาร์ตเมนต์ ในราคาสูงเกินจริง สุดท้ายนำไปหลอกลวงธนาคารขอใช้เครื่องรูดบัตรและนำเข้าข้อมูลบัตรเครดิตเท็จ ธนาคารสูญเงินกว่า 11 ล้าน
กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เปิดเผย คำพิพากษาศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.1164/2565 คดีหมายเลขแดงที่ อ.3042/2566 ลงวันที่ 17 ตุลาคม 2566 กรณีพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัทฯกับพวก รวม 6 คน ในคดีความผิดเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์ ฉ้อโกง และความผิดต่อพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์
กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากได้มีผู้แทนของธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง ได้ยื่นหนังสื่อร้องทุกข์ต่อกรมสอบสวน คดีพิเศษให้ทำการสืบสวนสอบสวน กรณีธนาคารตรวจสอบพบว่า ระหว่างเดือน พฤศจิกายน 2557 ถึงเดือนธันวาคม 2557 มีกลุ่มชาวต่างชาติร่วมกับคนไทยนำสัญญาจะซื้อจะขายโรงแรมในพื้นที่อำเภอเกาะช้าง จังหวัดตราด อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดกระบี่ จังหวัดกาญจนบุรี และเมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ รวมทั้งสัญญาเช่าโรงแรม/อะพาร์ตเมนต์ในพื้นที่ดังกล่าว จำนวนหลายแห่ง มายื่นขอใช้เครื่องรูดบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Capture : EDC) กับธนาคารพาณิชย์ของประเทศไทย รวม 6 ธนาคาร
และขอเปิดใช้บริการระบบการทำธุรกรรมแบบออฟไลน์ (Off Line) อาศัยช่องว่างของระบบการชำระเงินผ่านทางเครื่องรูดบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Capture : EDC) โดยทำรายการธุรกรรมแบบออฟไลน์ (Off Line) ด้วยการนำบัตรเครดิตของธนาคารต่างประเทศ จำนวน 29 ใบ มาทำธุรกรรมผ่านเครื่องรูดบัตรดังกล่าวโดยข้ามขั้นตอนการขอกันวงเงินกับธนาคารต่างประเทศเจ้าของบัตร และหลอกลวงนำรหัสอ้างอิงการชำระเงินที่เป็นเท็จเข้าระบบคอมพิวเตอร์ของธนาคารเจ้าของเครื่องรูดบัตร จำนวนหลายครั้ง จนเป็นเหตุให้ธนาคารแห่งหนึ่งหลงเชื่อโอนเงินให้กับกลุ่มคนร้าย จำนวน 16 ล้านบาทเศษ แต่ภายหลังตรวจสอบพบสามารถอายัดเงินได้บางส่วน ยังคงได้รับความเสียหาย 11,633,101 บาท
ส่วนธนาคารอื่น ๆ ส่วนใหญ่พบความเสียหายจากอัตราแลกเปลี่ยนเงิน ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดฐานร่วมกันใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยไม่ชอบอันเป็นการกระทำเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้อื่นได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิ์ใช้ เพื่อใช้ประโยชน์ในการชำระค่าสินค้าหรือบริการหรือหนี้อื่นแทนการชำระด้วยเงินสด ฐานฉ้อโกง รวมทั้งความผิดฐานนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จในระบบคอมพิวเตอร์ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
โดยรับเป็นคดีพิเศษที่ 107/2558 คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ทำการสอบสวนและดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด โดยได้ส่งสรุปสำนวนคดีพิเศษให้แก่พนักงานอัยการและมีความเห็นควรสั่งฟ้องกลุ่มผู้ต้องหาและพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องผู้ต้องหาต่อศาลอาญาแล้ว
ต่อมา ศาลอาญาได้มีคำพิพากษา ว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 269/5, 269/7 ความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 9, 14 (1) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 มาตรา 91 ฐานร่วมกันใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยไม่ชอบ อันเป็นการกระทำเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้อื่นได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิ์ใช้ เพื่อใช้ประโยชน์ในการชำระค่าสินค้าหรือบริการหรือหนี้อื่นแทนการชำระด้วยเงินสดโดยจำเลยมีความผิดต่างกรรมต่างวาระกัน
- ให้จำคุกอดีตกรรมการผู้มีอำนาจบริษัทฯในฐานะส่วนตัว จำเลยที่ 2 จำนวน 335 ปี 264 เดือน
- ให้จำคุกอดีตกรรมการผู้มีอำนาจบริษัทฯในฐานะส่วนตัว จำเลยที่ 4 จำนวน 105 ปี 132 เดือน
- ให้จำคุกอดีตกรรมการผู้มีอำนาจบริษัทฯในฐานะส่วนตัว จำเลยที่ 6 จำนวน 105 ปี 132 เดือน
โดยคงจำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และอดีตกรรมการบริษัทฯ ชดใช้เงินคืนแก่ธนาคาร จำนวน 11,633,101 บาท
กรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงขอแจ้งเตือนไปยังผู้ประกอบการบริการท่องเที่ยว โรงแรม บริษัท ห้างร้าน หรือประชาชน ให้ระมัดระวังมิจฉาชีพที่อาจใช้ช่องทางการซื้อ ขายกิจการ หรือการทำธุรกรรมทางการเงิน ซึ่งไม่มีการซื้อ ขายจริง โดยอ้างว่ารัฐบาลได้สนับสนุนการท่องเที่ยว ซึ่งมิจฉาชีพอาจใช้กลโกงต่าง ๆ เช่น หลอกให้โอนเงินค่ามัดจำหรือค่าจองล่วงหน้าก่อน หลอกให้ร่วมลงทุนในกิจการท่องเที่ยวที่ไม่น่าเชื่อถือ หลอกให้ทำธุรกรรมทางการเงิน (โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารปลอม) เป็นต้น
จึงควรตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบก่อนทำธุรกรรมใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว หากหลงเชื่อหรือมีส่วนร่วมในการกระทำความผิด อาจได้รับโทษตามกฎหมาย
อ้างอิง - กรมสอบสวนคดีพิเศษ