บสย. ตั้งเป้าปี 67 ค้ำประกัน 1.14 แสนล้านบาท มอง ‘SME’ ยังมีปัญหาสภาพคล่อง

บสย. ตั้งเป้าปี 67 ค้ำประกัน 1.14 แสนล้านบาท มอง ‘SME’ ยังมีปัญหาสภาพคล่อง

เปิดยุทธศาสตร์ บสย. ปี 2567 หนุน SME เข้าถึงสินเชื่อ ผ่านช่องทาง Digital Gateway ตั้งเป้าค้ำประกัน 115,600 ล้านบาท มองแนวโน้มปีนี้สภาพคล่องยังเป็นปัญหาใหญ่รายย่อย รวมทั้งการใช้สินเชื่อผิดประเภท

นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า ในปี 2567 บสย. ตั้งเป้าค้ำประกันสินเชื่อ 115,600 ล้านบาท สนับสนุน SMEs เข้าถึงสินเชื่อในระบบ โดยเฉพาะกลุ่ม Micro ที่มีสัดส่วนราว 70-80% ผ่านการดำเนินการ 2 โครงการหลัก ได้แก่ โครงการค้ำประกัน ที่ บสย. พัฒนาขึ้น อาทิ BI7 และ RBP วงเงิน 75,600 ล้านบาท และโครงการค้ำประกันสินเชื่อดอกเบี้ยถูก หรือ พ.ร.ก.สินเชื่อฟื้นฟู อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 5 ปีแรกไม่เกิน 5% วงเงิน 40,000 ล้านบาท

สำหรับโครงการค้ำประกันสินเชื่อ บสย. SMEs เข้มแข็ง (PGS 11) อยู่ระหว่างการหารือกับกระทรวงการคลังและสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ซึ่งคาดหวังว่าจะได้วงเงินไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะช่วยผู้ประกอบการได้ประมาณเกือบ 2 แสนราย

"แนวโน้มของผู้ประกอบการในปี้นี้กลุ่ม Micro ยังคงมีปัญหาเรื่องการขาดสภาพคล่อง และการบริหารเงินหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ รวมทั้งการเข้าถึงแหล่งทุนผิดประเภท อาทิ การใช้สินเชื่อส่วนบุคคลในการดำเนินธุรกิจ ทำให้ต้องแบกรับภาระต้นทุนทางการเงินที่สูง"

นายสิทธิกร กล่าวต่อว่า ทิศทางการดำเนินงานในปีนี้ บสย. มุ่งขับเคลื่อนองค์กรก้าวสู่การเพิ่มบทบาทเป็นตัวกลางเชื่อมโยงผู้ประกอบการ SME (Credit Mediator) และพัฒนา Digital Platform เดินหน้าสู่เฟส 2 หรือ ‘“SMEs Digital Gateway’” เชื่อมระบบการค้ำประกันสินเชื่อด้วย Digital Guarantee Platform และบริการใหม่จาก LINE OA @tcgfirst ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้งานกว่า 30,000 ราย

“ในปีนี้ มิติที่ บสย.ขับเคลื่อนการดำเนินงานสู่ระบบดิจิทัล ผ่านการใช้งานแอปพลิเคชันไลน์ เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงกับระบบนิเวศน์ทางการเงินของสถาบันการเงิน โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารเสมือน (Virtual Bank) ที่มีการปล่อยสินเชื่อดิจิทัล ก็สามารถค้ำประกันออนไลน์ได้ คาดว่าวงเงินไม่เกินรายละ 5 แสนบาท”
 

บสย. ตั้งเป้าปี 67 ค้ำประกัน 1.14 แสนล้านบาท มอง ‘SME’ ยังมีปัญหาสภาพคล่อง

รวมถึงกลุ่ม Non-Bank ที่อยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์และรูปแบบวอลเล็ต เพื่อให้การเข้าถึงสินเชื่อเร็วขึ้นและง่ายขึ้น ทั้งนี้ ตามกฎหมายปัจจุบันบสย.สามารถดำเนินการค้ำประกันสินเชื่อกลุ่ม Non-Bank เฉพาะที่มีสถาบันการเงินถือหุ้นสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 50%

นายสิทธิกร กล่าวเพิ่มเติมว่า จะมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ค้ำประกันสินเชื่อแบบราย Segment เจาะกลุ่มรายย่อย อาชีพอิสระ หนี้นอกระบบ นิติบุคคล ธุรกิจยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม (ESG) รวมถึงโครงการ CSR ที่ใช้ความเชี่ยวชาญของ บสย. ให้ความรู้กลุ่มผู้ต้องขัง กลุ่มผู้พิการ นักเรียนอาชีวศึกษา และโรงเรียนฝึกอาชีพในชุมชน โดยภายในปี 2571 บสย.ตั้งเป้าว่าจะมีการค้ำประกันสินเชื่อกลุ่ม ESG คิดเป็นสัดส่วน 70-80% ของพอร์ต

นอกจากนี้ เพิ่มมาตรการการช่วยเหลือลูกหนี้ แก้หนี้อย่างยั่งยืน คือ “มาตรการปลอดดอกเบี้ย” ขยายเวลามาตรการ 3 สี (ม่วง เหลือง เขียว) “บสย. พร้อมช่วย” ผ่อนน้อย เบาแรง เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ต่อเนื่องอีก 1 ปี และ “มาตรการปลดหนี้” ต่อยอด “มาตรการสีฟ้า” ปลดหนี้ ลดต้น 15% สำหรับลูกหนี้ บสย. มาตรการสีเขียว ผ่อน ดี 3 งวดต่อเนื่อง โดยจะสิ้นสุดระยะเวลาทดลองโครงการเฟสแรก 30 มิ.ย. 2567

“มาตรการแก้หนี้” พักหนี้ 1 ปี สำหรับผู้ประกอบการ SME รหัส 21 ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ระยะเวลาดำเนินโครงการ 18 เดือน เริ่ม 1 ม.ค. 2567-30 มิ.ย. 2568) เปิดลงทะเบียนเมื่อ 1 ม.ค. 2567 ผ่านช่องทาง Line Official Account @tcgfirst และสำนักงานเขต บสย. ทั่วประเทศ

สำหรับผลการดำเนินงานค้ำประกันสินเชื่อ บสย. ปี 2566 อนุมัติค้ำประกันรวม 114,025 ล้านบาท ประกอบด้วย 1. โครงการภาครัฐ (PGS 10 และโครงการอื่นๆ) 51,249 ล้านบาท (สัดส่วน 45%) ค้ำเฉลี่ยต่อราย 5.9 แสนบาท 

2. โครงการค้ำประกันสินเชื่อดอกเบี้ยถูก หรือ พ.ร.ก.สินเชื่อฟื้นฟู ระยะที่ 2 43,376 ล้านบาท (สัดส่วน 38%) ค้ำเฉลี่ยต่อราย 5.3 ล้านบาท 

3. โครงการ บสย. ดำเนินการเอง วงเงิน 19,400 ล้านบาท (สัดส่วน 17%) ค้ำเฉลี่ยต่อราย 2.55 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนการค้ำประกันสินเชื่อ กรุงเทพ -ปริมณฑล 45% และภูมิภาค 55% 

บสย. ตั้งเป้าปี 67 ค้ำประกัน 1.14 แสนล้านบาท มอง ‘SME’ ยังมีปัญหาสภาพคล่อง

ขณะที่การค้ำประกันสินเชื่อโครงการ SMEs เพื่อความยั่งยืน มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอย่างมีนัยสำคัญจาก 27% ในปี 2565 เป็น 29% ในปี 2566 ได้แก่ โครงการค้ำประกันรายย่อย Micro Entrepreneurs โครงการ Start up Innovation โครงการ Green SMEs โครงการหนี้นอกระบบและโครงการพิเศษ พ.ร.ก.สินเชื่อฟื้นฟู และโครงการ PGS สำหรับกลุ่มเปราะบาง

ทั้งนี้ เป็นผู้ประกอบการ SME รายใหม่ได้สินเชื่อ จำนวน 99,298 ราย 80% เป็นผู้ประกอบการรายย่อย (Micro SMEs) รักษาการจ้างงาน รวม 855,087 ตำแหน่ง สร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ 470,388 ล้านบาท สร้างสินเชื่อในระบบ 124,815 ล้านบาท คิดเป็น 1.10 เท่า ของยอดค้ำประกัน

สำหรับประเภทธุรกิจที่มียอดค้ำประกันสูงสุด 5 ลำดับ ในปี 2566 ได้แก่ 1. ภาคบริการ 30% 2. ภาคการผลิต สินค้าและการค้าอื่นๆ 10% 3. ภาคเกษตรกรรม 10% 4. ภาคอาหารและเครื่องดื่ม 9% และ 5. สินค้าอุปโภค-บริโภค 8% 

"สัดส่วนการค้ำประกันสินเชื่อภาคบริการมีแนวโน้มการขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่ภาคการผลิตสินค้าและการค้าอื่นๆ และ ภาคเกษตรกรรม หดตัวเล็กน้อย ขณะที่กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและกลุ่มยานยนต์ มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากปี 2565 สอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจไทยต่อสัญญาณการฟื้นตัวต่อเนื่องจากภาคการท่องเที่ยวสนับสนุนภาคการบริโภค"

ขณะที่กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ค้ำสูงสุดคือ SMEs รายย่อยซึ่งอยู่ในภาคการผลิตสินค้าและการค้าอื่นๆ สัดส่วน 33% ตามด้วย ภาคบริการ และสินค้าอุปโภค-บริโภค

ด้านโครงการแก้หนี้ SMEs ประสบความสำเร็จเกินคาด ตัวเลขการช่วยผู้ประกอบการแก้หนี้ สะสม ตั้งแต่ปี 2560- 2566 ช่วยลูกหนี้เข้าโครงการประนอมหนี้ จำนวน 19,000 ราย คิดเป็นมูลหนี้ปรับโครงสร้างสะสม 6,942 ล้านบาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงระหว่างปี 2565 (เริ่มเมษายน) จนถึงปี 2566 ซึ่งเป็นปีที่ บสย. ออกมาตรการ "บสย. พร้อมช่วย" มาตรการ 3 สี ม่วง เหลือง เขียว "ผ่อนน้อย เบาแรง" ดอกเบี้ย 0%

ทั้งนี้ บสย. สามารถช่วยลูกหนี้ได้รับการประนอมหนี้จำนวน 13,378 ราย คิดเป็นมูลหนี้ 4,723 ล้านบาท โดยในปี 2567 บสย. ยังคงเดินหน้ามาตรการช่วยลูกหนี้อย่างเข้มข้น