สมาคมฯ ชี้ธนาคารกลางทั่วโลกตุนทอง - เงินอ่อนค่า-ดอกเบี้ยลด ดันราคาทะลุ 35,000 บาท

สมาคมฯ  ชี้ธนาคารกลางทั่วโลกตุนทอง - เงินอ่อนค่า-ดอกเบี้ยลด ดันราคาทะลุ 35,000 บาท

“สมาคมค้าทองคำ” เผยธนาคารกลางหลายประเทศตุนทองคำเพิ่มนับ “พันตัน” เตรียมรองรับสภาพคล่องหวั่น “ความเสี่ยง” เศรษฐกิจโลกถดถอยกว่าคาดการณ์ไว้ ด้านทองไทยมีโอกาสทะลุ 35,000 บาท หากเงินบาทอ่อนค่า - ดอกเบี้ยลด ช่วยหนุนราคาทะยานทำ “นิวไฮใหม่” ทะลุ 2,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์

จากความกังวลประเด็นเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะ “ถดถอย” จึงส่งผลให้ในช่วงที่ผ่านมา “ธนาคารกลางทั่วโลก” ตุน “ทองคำ” กว่า 1,000 ตันติดต่อกันมา 2 ปีซ้อน เพิ่มขึ้น “2 เท่าตัว” ผสานดอลลาร์อ่อนค่า และหากธนาคารกลาง (เฟด) เริ่มลดดอกเบี้ยไตรมาส 2 ปี 2567 มีโอกาสราคาทองพุ่งทำนิวไฮใหม่ทะลุ 2,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ยังต้องติดตามสารพัดปัจจัยผันผวน มองแนวรับ 1,985-2,045 ดอลลาร์ต่อออนซ์  ส่วนบาทอ่อนค่ายังหนุนทองไทยทะลุ 35,000 บาท 

10 อันดับประเทศออมทองมากที่สุดในโลก
10 ประเทศ 'สำรองทองคำ'     มากที่สุดในโลก 

นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยว่า ไตรมาส 2 ปี 2567 มองโอกาสที่ราคาทองคำทะลุระดับ 2,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็นไปได้ ภายใต้สถานการณ์ปกติตามที่ตลาดคาดว่า เฟดมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ย ประกอบกับธนาคารกลางประเทศต่างๆ ในปีนี้ยังมีแนวโน้มสำรองทองคำแท่งเพิ่มขึ้นไว้เป็นสภาพคล่องรองรับความเสี่ยงหากเศรษฐกิจโลกถดถอยกว่าที่คาด

“ปีก่อนยอมรับว่า ธนาคารกลางประเทศต่างๆ ตุนทองกันเพิ่มขึ้นเป็นพันๆ ตัน ถือว่า ค่อนข้างสูง ขณะที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทยอยสำรองทองคำเพิ่มขึ้น แต่อาจไม่ได้มากเท่าประเทศอื่นๆ”

ส่วนราคาทองคำจะขยับไปแตะระดับ 2,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ มองว่ามีโอกาสได้เห็นเช่นกันหากมีสถานการณ์เลวร้ายกว่าคาดการณ์ไว้ จับตาปัญหาความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ หรือ ธนาคารกลางกลุ่มประเทศเกิดใหม่ลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์

สำหรับราคาทองต่างประเทศมองกรอบแนวรับ 1,985-2,045 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยทำสูงสุดปีก่อน ที่ 2,080 ดอลลาร์ต่อออนซ์ มีโอกาสลุ้นทำไฮใหม่ และครึ่งปีหลังสามารถทำนิวไฮทะลุ 2,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากเฟดลดดอกเบี้ยไตรมาส 2 ปีนี้ตามคาด

ด้านทิศทางค่าเงินบาทยังผันผวนแรงจากมีผลต่อราคาทองคำในประเทศแกว่งตัวผันผวนมากแต่ละวันปรับขึ้นลงกว่า 20 สตางค์ ทำให้คาดแนวโน้มทิศทางราคาทองในประเทศได้ยากโดยปกติการเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาททุก 10 สตางค์จะมีผลต่อราคาทอง เปลี่ยนแปลง 95 บาท

ดังนั้น หากทิศทางเงินบาทยัง “อ่อนค่าต่อเนื่อง” ยิ่งดันราคาทองในประเทศแพงขึ้น คาดว่ามีโอกาสทะลุ 35,000 บาท แต่ที่ตลาดคาดกันจะเห็นแตะระดับ 40,000 บาท ส่วนตัวมองว่าไม่น่าเกิดขึ้น เพราะธปท.เข้ามาดูแลให้เงินบาทมีเสถียรภาพไม่แกว่งตัวแข็งค่าหรืออ่อนค่ามากเกินไปอยากให้ช่วยดูแลในส่วนนี้ และยังต้องติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) นัดพิเศษ เกี่ยวกับนโยบายดอกเบี้ยของไทย จะมีผลต่อค่าเงินบาท และราคาทองคำในประเทศด้วยเช่นกัน

นายจิตติ กล่าวต่อว่า แนะนำหากนักลงทุนยังมีเงินเหลืออยู่ในช่วงนี้ สามารถเข้าเก็บสะสมออมทองคำได้ เพราะปัจจุบันราคาทองคำถือว่าไม่แพง หากราคาทองคำมีโอกาสจะขยับขึ้นสูงขึ้น เมื่อเฟดเริ่มลดดอกเบี้ย ดันราคาทองโลกขยับขึ้นดังนั้น ในช่วงนี้มองว่า ราคาทองในประเทศน่าจะแกว่งตัวแนวรับ 34,000 บาท แต่หากเห็นหลุดระดับดังกล่าวลงมาหรือ 33,000 บาทมองเป็นจังหวะออมทองได้เลย

ทั้งนี้ สภาทองคำโลก (World Gold Council) จัดอันดับประเทศที่ถือครองทองคำมากที่สุดในโลก ซึ่งสหรัฐ เป็นประเทศที่มีทองคำมากที่สุดในโลกถึง 8,133.5 ตัน โดยประเทศไทยนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ครอบครองทองคำอยู่อันดับที่ 24 ของโลกที่ 244.2 ตัน

อย่างไรก็ตาม ประเมินโอกาสที่ราคาทองคำต่างประเทศจะไปแตะที่ระดับ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในระยะ 12 เดือนข้างหน้า ยังเป็นไปได้ยาก เหตุปัจจัยภายนอกประเทศผันผวน และยังไม่ชัดเจนดังนั้นยากคาดเดาได้ 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์