ซีไอเอ็มบีไทย หั่นพอร์ต ‘เอสเอ็มอี’ 3 ปี ต่ำกว่า 1% เดินหน้าโตพอร์ตรายย่อย
ซีไอเอ็มบีไทย มุ่งโตสินเชื่อรายย่อย - รุกโตสินเชื่อในอาเซียน โดยคาดรายย่อยปีนี้โต 5-10% ผ่านสินเชื่อบ้าน-สินเชื่อรถ พร้อมตั้งเป้าสินเชื่ออาเซียนโต10% ขณะที่สินเชื่อเอสเอ็มอีคาดทยอยลดสัดส่วนลงต่อเนื่อง ภายใน 3 - 4 ปี สัดส่วนต่ำลงเหลือต่ำกว่า 1% จากปัจจุบันที่ 2.5%
นายพอล วอง ชี คิน กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ CIMBT กล่าวว่า ภายใต้การเติบโตปี 2567 ธนาคารตั้งเป้าเติบโตของสินเชื่อรวมอยู่ที่ราว 5% โดยโฟกัสหลักของธนาคารปีนี้คือ การมุ่งสู่การเติบโตในพอร์ตลูกค้าในอาเซียน ธุรกิจรายใหญ่ และธุรกิจรายย่อย โดยเฉพาะรายย่อย ที่คาดว่าปีนี้จะเห็นการเติบโตสู่ 5-10% จากการมุ่งไปเติบโตในกลุ่มสินเชื่อบ้าน และสินเชื่อรถมากขึ้น ทั้งรถยนต์ และจักรยานยนต์ รวมถึงสินเชื่อจำนำทะเบียน ที่คาดว่าจะเริ่มให้บริการกลางปีนี้
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน พอร์ตสินเชื่อรายย่อย ของธนาคารอยู่ที่ 1.65 แสนล้านบาท โดยในนี้เป็นพอร์ตสินเชื่อรถอยู่ที่ราว 30% ที่เหลือเป็นพอร์ตสินเชื่อบ้าน
โดยการมุ่งการเติบโตในสองกลุ่มนี้ ธนาคารมองว่า ยังมีศักยภาพในการเติบโตได้ แม้ภาพรวมหนี้เสียโดยรวมของตลาด จะปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้ง สินเชื่อรถ และสินเชื่อบ้าน โดยการลดความเสี่ยงของธนาคารคือ มุ่งไปหากลุ่มที่มีศักยภาพมากขึ้น เช่น ลูกค้าบ้านราคาเกิน 3-5 ล้านบาทขึ้นไป เช่นเดียวกับลูกค้ารถ ที่ตั้งเป้าเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้เกิน 3-5 หมื่นล้านบาท
“แม้ว่ามีความเสี่ยง ทั้งจากสินเชื่อบ้าน และสินเชื่อรถยนต์ และการเติบโตทั้งสองตลาดยังเติบโตได้ต่อเนื่อง ดังนั้นธนาคารยังมองว่าเป็นโอกาสในการสร้างการเติบโตให้กับธนาคาร โดยการปล่อยสินเชื่อรถ ยังปล่อยผ่านบริษัทลูกค้า ซีไอเอ็มบีไทยออโต้”
ส่วนการปล่อยสินเชื่อรถ และสินเชื่อบ้าน ยอมรับว่า มีการเข้มงวดมากขึ้น ทั้งการคัดกรองลูกค้าอย่างเข้มข้น ไปสู่ลูกค้าที่มีศักยภาพมากขึ้น ส่งผลให้การอนุมัติสินเชื่อของธนาคารปรับลดลงเหลือเพียง 50-60% จากเดิม 70%
ขณะที่สินเชื่อรถ อยู่ที่ 40% ซึ่งสูงขึ้นเล็กน้อยหากเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19
นอกจากการเติบโตในพอร์ตรายย่อยแล้ว กลยุทธ์การเติบโตของธนาคารปีนี้ ยังมุ่งไปสู่การเติบโตผ่านลูกค้าในอาเซียน ภายใต้เครือข่ายของ CIMB ที่กระจายอยู่เกือบทุกประเทศในภูมิภาคอาเซียน โดยธนาคารตั้งเป้าการเติบโตสินเชื่อในอาเซียนราว 10% ปีนี้ โดยจะโฟกัสมากขึ้น อินโดนีเซีย ต่อเนื่องจาก มาเลเซีย และสิงคโปร์ ที่รุกหนักในปีก่อนไปแล้ว นอกจากการให้สินเชื่อแล้ว ปีนี้จะเห็นการให้บริการอย่างครบวงจรเพื่อให้ความสะดวกกับลูกค้าธนาคารมากขึ้น ทั้งการให้บริการสินเชื่อระหว่างประเทศ การให้บริการทางการเงินการชำระเงิน อย่างครบวงจรมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในส่วนสินเชื่อเอสเอ็มอีของธนาคารปัจจุบัน ถือว่ามีพอร์ตต่ำมาก โดยมีสัดส่วนเพียง 2.5% หากเทียบกับสินเชื่อทั้งหมด ดังนั้นการแข่งขันในสินเชื่อเอสเอ็มอี อาจมีความยากลำบาก หากเทียบกับเจ้าอื่นๆ ในตลาด
ดังนั้น จะเห็นธนาคารลดสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อเอสเอ็มอีลงต่อเนื่อง โดยคาดภายใน 3-4 ปี จะเห็นพอร์ตสินเชื่อเอสเอ็มอีต่ำกว่า 1% และกลยุทธ์ของธนาคารมุ่งไปสู่ จุดแข็ง และจุดที่ธนาคารเป็นผู้นำมากขึ้น
สำหรับภาพรวมหนี้เสีย คาดการณ์ว่า จะใกล้เคียงกันหากเทียบกับปี 2566 โดยคาดปีนี้จะอยู่ที่ 3.3-3.5% และเชื่อว่าหนี้เสียน่าจะอยู่ในทิศทางที่บริหารจัดการได้
พอล วอง ชี คิน กล่าวต่อว่า ยุทธศาสตร์ปี 2567 ซีไอเอ็มบี ไทย ยังคงมุ่งมั่นชูวิสัยทัศน์ในการเป็น ‘Digital-led Bank with ASEAN Reach’ ‘ธนาคารอาเซียนขับเคลื่อนด้วยดิจิทัล’ โดยอาศัยเครือข่ายความแข็งแกร่งในฐานะกลุ่มการเงินชั้นนำระดับภูมิภาคของ CIMB Group เข้ามาช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในประเทศไทยด้วยจุดแข็งของซีไอเอ็มบี ไทย ได้แก่ ASEAN, Digitalization, Wealth & ผลิตภัณฑ์การเงินเพื่อลูกค้ารายย่อย และ Sustainability
ปี 2567 ธนาคารยังคงโฟกัส ASEAN เป็นหลัก จากจุดแข็งของเครือข่าย know how ของทีมงานผู้เชี่ยวชาญ และการประสานงานเชื่อมโยงเครือข่ายแบบไร้รอยต่อกับทีมงานประเทศต่างๆ ในเครือข่ายกลุ่ม CIMB ทั่วอาเซียนมาอย่างต่อเนื่องหลายปีจนสามารถพาบริษัทไทยขยายธุรกิจข้ามประเทศได้สำเร็จ
โดยปี 2566 ลูกค้าไว้วางใจให้ธนาคารพาไปเปิดตลาดใหม่ด้วย ASEAN Total Solutions เพื่อให้บริการลูกค้าที่ต้องการให้ธนาคารสนับสนุนการขยายธุรกิจในมาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และกัมพูชา คู่ขนานไปกับการดูแลธุรกรรมทางการเงินให้แก่ลูกค้าองค์กร และสถาบันการเงินในประเทศ ผ่านสินเชื่อ บริการธุรกรรมจัดการเงิน บัญชีธุรกิจ และบริการชำระเงิน
อีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญคือ Digitalize for Value ที่มุ่งเน้นการใช้ดิจิทัล และเทคโนโลยีมาขับเคลื่อนและยกระดับการให้บริการในโลกยุคใหม่ ผ่านแอปพลิเคชัน CIMB THAI Digital Banking ที่ส่งผลให้ธุรกรรมเติบโตอย่างรวดเร็ว และสามารถขยายฐานบัญชีดิจิทัลเพิ่มเป็น 4 แสนราย ปริมาณธุรกรรมบนแอปที่ทะยานสู่ 90% และธุรกรรมจองซื้อหุ้นกู้ และพันธบัตรทั้งตลาดแรก และตลาดรองทะยานเกิน 6.6 หมื่นล้านบาทนับตั้งแต่ปี 2563
ทั้งนี้ การมี Digital Ecosystem ที่ครอบคลุม ส่งผลให้ธนาคารคว้ารางวัล Wealth Management Platform of the Year - Thailand 4 ปีติดต่อกัน ปีนี้ทีม Digital เตรียมปรับโฉม UX/UI และเปิดตัวผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินใหม่ๆ ยกระดับความสะดวกสบายไปอีกขั้น
นอกจากนี้ CIMB Thai ยังตั้งเป้ารักษาความเป็นผู้นำตลาด และที่หนึ่งในใจลูกค้า Wealth Management ท่ามกลางสภาวะตลาดที่มีความท้าทาย ธนาคารจึงให้ความสำคัญกับการแนะนำลูกค้า เลือกลงทุนให้ถูก ‘จังหวะ’ ผ่านการคัดเลือกผลิตภัณฑ์ที่ CIMB Thai คัดสรรมาให้ลูกค้า ทั้งหุ้นกู้ในตลาดแรก หุ้นกู้ตลาดรอง หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง เงินฝากดอกเบี้ยสูง เงินฝากสกุลต่างประเทศ (FCD) กองทุน ประกัน บริการ Wealth Credit Line (วงเงินพิเศษเพื่อมอบสภาพคล่องให้ลูกค้าที่มีเงินลงทุนกับธนาคาร) และพร้อมจูงมือลูกค้าไปลงทุน Offshore fund
โดยเฉพาะ Alternative Investment มีความน่าสนใจที่ไม่อ้างอิงต่อปัจจัยหลักอย่างทิศทางดอกเบี้ยหรือค่าเงิน แต่อยู่บนสินทรัพย์ที่ไปลงทุน ปีนี้ธนาคารตั้งเป้าหมายขยายธุรกิจ และฐานสมาชิก CIMB Preferred (ลูกค้าที่มีเงินฝากหรือเงินลงทุน 3 ล้านบาทขึ้นไป) ให้เติบโตอีก 12% จากปัจจุบันมีลูกค้า 1 แสนราย
ผลงานชิ้นโบแดง คือ การที่ CIMB Thai ครองอันดับ 1 ‘หุ้นกู้’ ด้วยมูลค่าการค้าตราสารหนี้ปี 2566 ทะลุ 7 แสนล้านบาท และคว้ารางวัลระดับโลก 10 ปีซ้อน สะท้อนความเชี่ยวชาญของทีม Treasury & Markets ที่ดูแลการลงทุนช่วยลูกค้ามีสภาพคล่องผ่านบริการรับซื้อ – ขายหุ้นกู้ เป็นที่มาของแคมเปญปีนี้ ‘หุ้นกู้คือ CIMB Thai’
ด้านธุรกิจรายย่อย จะโฟกัสที่สินเชื่อยานยนต์ โดยเมื่อวันที่ 1 ก.พ.2567 ได้เปิดตัว ‘One Auto Platform’ บริการสินเชื่อยานยนต์ ครอบคลุมทั้งรถยนต์ และจักรยานยนต์ ผ่านบริษัท ซีไอเอ็มบี ไทย ออโต้ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของธนาคาร โดยจะยกระดับความสามารถในการแข่งขันกับตลาด และเพิ่มความหลากหลายของธุรกิจผ่านบริการใหม่ อาทิ สินเชื่อจำนำทะเบียนทั้งแบบโอนเล่ม และไม่ต้องโอนเล่ม
นอกจากนี้ ทุกมิติของการทำธุรกิจจะขับเคลื่อนบนแกน Sustainability สอดรับกับเป้าหมายกลุ่ม CIMB ที่จะบรรลุ Green, Social Sustainable Impacted Products and Services (GSSIPS) จำนวน 1 แสนล้านริงกิต หรือ 7.7 แสนล้านบาทในปี 2567 โดยปี 2566 ทีมสินเชื่อรายใหญ่ได้สนับสนุนสินเชื่อความยั่งยืน จำนวน 1.5 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ ในการทำงานบนวิถีความยั่งยืน Net Zero ปี 2567 ตั้งเป้าหมายจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนลง 36% เทียบกับปี 2562 (scope 1 และ 2) และเพื่อปลุกกระแสสังคมรวมพลังสร้างความยั่งยืนไปด้วยกัน ปีนี้ ธนาคารจะจัดสัมมนา The Cooler Earth Sustainability Series ตลอดทั้งปี ทั้งการฉลองวันสิ่งแวดล้อมโลก, เสวนาโต๊ะกลมสินเชื่อยั่งยืน และสัมมนาใหญ่ร่วมกับ UN ESCAP ขึ้นอีกครั้ง หลังจากจัดขึ้นครั้งแรกปี 2566
“เราโฟกัส ASEAN, Digitalization, Wealth & Consumer Finance Solutions และ Sustainability โดยยึดลูกค้าเป็นหัวใจ (Customer-centric) ส่งผลให้เราได้รับการจัดอันดับจาก Rakuten Group ในปี 2566 ให้เป็นธนาคารที่ลูกค้าให้คะแนนความพึงพอใจเป็นอันดับหนึ่งเมื่อเทียบกับตลาด (คะแนน NPS : Net Promoter Score) ด้วยคะแนน 85 ที่ปรับตัวสูงขึ้นจาก 63 ในปีก่อนหน้า โดยตั้งเป้าหมายจะรักษามาตรฐานการเป็นที่หนึ่งในใจลูกค้า จึงมีแผนพัฒนาขั้นตอนการให้บริการดียิ่งขึ้นไปอีก”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์