เปิดคลินิกเสริมความงาม ทำลักษณะไหนได้ยกเว้น VAT

เปิดคลินิกเสริมความงาม ทำลักษณะไหนได้ยกเว้น VAT

ทำธุรกิจเสริมความงาม เช่นการนวดหน้า นวดตัว ดูแลผิวพรรณ โบท็อกซ์ ร้อยไหม เมื่อรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) แต่การคำนวณว่าเกิน 1.8 ล้านบาทหรือไม่ มีวิธีคำนวณที่ต้องรู้ เพราะรายได้บางอย่างอาจได้ยกเว้น แต่อีกหลายรายการอาจต้องนำมาคำนวณ VAT

ธุรกิจด้านเสริมความงาม อย่างเช่นการนวดหน้า นวดตัว ดูแลผิวพรรณ โบท็อกซ์ ร้อยไหม ถือเป็นธุรกิจที่ได้รับความสนใจจากหนุ่มสาวที่รักความสวยความงาม มักนิยมเข้าใช้บริการ ด้วยเหตุนี้เจ้าของธุรกิจความสวยความงาม จึงจำเป็นต้องจัดตั้งร้านเปิดให้เป็นทางการ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้เข้าใช้บริการ รวมถึงเสียภาษีจากรายได้ที่เกิดขึ้นด้วย

และรายได้จากการประกอบธุรกิจเสริมความงามนี้ หากเกิน 1.8 ล้านบาท ก็มีหน้าที่ต้องขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT ให้ถูกต้อง

แต่การคำนวณผลประกอบการจากการทำคลินิกเสริมความงาม ว่าเกิน 1.8 ล้านบาทหรือไม่นั้น จะมีรายละเอียดอยู่พอสมควร ซึ่งรายได้บางอย่างอาจได้ยกเว้นไม่ต้องนำมารวมเพื่อคำนวณภาษี VAT แต่อีกหลายๆ รายการอาจต้องนำมามารวมเพื่อคำนวณ VAT ว่าเกิน 1.8 ล้านบาทหรือยัง

วันนี้เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับรายรับของคลินิกเสริมความงาม หรือ ร้านเสริมความงาม ว่าลักษณะใดต้องนำมารวมคำนวณ VAT และลักษณะใดไม่ต้องนำมาคำนวณ VAT หรือไม่เสีย VAT ดังนี้

รายได้ใดของคลินิกเสริมความงาม ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม

เนื่องจากคลินิกเสริมความงาม หรือร้านเสริมความงาม มีทั้งงานบริการและขายสินค้า จึงทำให้มีรายได้เข้ามาทั้งในกลุ่มของบริการและขายสินค้า ซึ่งสามารถแยก "ประเภทของรายได้" ที่เข้ามาได้ 2 รูปแบบ ที่นำมาคำนวณเพื่อภาษีตามหลักการของภาษีมูลค่าเพิ่มได้ดังนี้

- รายได้จากการประกอบธุรกิจเสริมความงาม หากรายได้เข้าลักษณะเป็น "สถานพยาบาล" ซึ่งผู้ประกอบการต้องได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาล โดยได้ให้บริการแก่ผู้ป่วย ณ สถานประกอบการตามที่ระบุไว้ในใบอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาล เช่น การทำศัลยกรรม ฉีดสิว

หากเข้าลักษณะนี้จะถือเป็นการให้บริการรักษาพยาบาลของสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล และจะได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ไม่ต้องนำรายได้ในส่วนนี้มารวมคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม

- รายได้อื่นๆ ของคลินิกเสริมความงาม ที่ได้รับมาโดยไม่ต้องมีข้อแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ อย่างเช่น การขายครีมบำรุง ขายอาหารเสริม หรือหากผู้ประกอบการไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาล การให้บริการดังที่กล่าวมานี้ จะไม่เข้าลักษณะเป็นการให้บริการรักษาพยาบาลของสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล

ดังนั้น จึงไม่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเท่ากับว่าผู้ประกอบการมีการประกอบกิจการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อมีรายได้เหล่านี้เกิน 1.8 ล้านบาทขึ้นไปต่อปี ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และคิด VAT 7% กับผู้ซื้อ พร้อมกับออกใบกำกับภาษีทุกครั้งที่ได้รับเงินจากลูกค้า​

เช็กรูปแบบคลินิกเสริมความงานให้ดี แบบไหนยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม

​หลักการแยกประเภทธุรกิจของคลินิกเสริมความงาม เพื่อจัดกลุ่มว่าลักษณะใดได้ยกเว้นภาษี นอกเหนือจากการวิเคราะห์ตามประเภทของรายได้ดังที่กล่าวไปแล้ว จะสามารถแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ

1.ประกอบธุรกิจเสริมความงามในนามบุคคลธรรมดา

- หากผู้ประกอบการได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาล ตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 ถือเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 6 มาตรา 40(6) ซึ่งจะได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม จึงไม่สามารถยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้
นอกจากนี้ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สามารถหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 60% ของเงินได้

- หากผู้ประกอบการคลินิกเสริมความงามในนามบุคคลธรรมดา ไม่ได้มีการขอใบอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาล จะทำให้รายได้ที่ได้รับทั้งหมดนี้ ถือเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 8 มาตรา 40(8) ซึ่งเป็นรายได้ที่ไม่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม จะต้องนำมาเป็นรายได้เพื่อคำนวณจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ​และการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สามารถหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 60% หรือหักค่าใช้จ่ายตามจริงและตามสมควร

2.ประกอบธุรกิจเสริมความงามในนามนิติบุคคล

ในกรณีที่คลินิกเสริมความงามได้จดทะเบียนบริษัทเป็นนิติบุคคล ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบ “บริษัทจำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล” หลักการพิจารณาว่าแบบใดได้ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม จะเหมือนกับคลินิกเสริมความงามในนามบุคคลธรรมดา

นอกจากนี้หากแพทย์ พนักงานที่ได้รับเงินจากบริษัทจำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่ทำคลินิกเสริมความงาม มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยแยกประเภทรายได้แตกต่างกันดังนี้

​- ลูกจ้างได้รับเงินเดือนค่าจ้าง จัดเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 1 มาตรา 40(1)

- หากได้รับเงินได้ขั้นต่ำ โดยไม่คำนึงว่าจะทำการรักษาพยาบาลหรือไม่ ถือเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่  2มาตรา 40(2)

- หากแพทย์ได้รับเงินจากการเปิดคลินิกในสถานพยาบาลของตนเอง ถือเป็นเงินได้พึงประเมินประเภททที่ 6 มาตรา 40(6)  

​- หากเป็นธุรกิจสุขภาพ เช่น ฟิตเนส อาหาเสริม นวดหน้า เครื่องสำอางหรือสมุนไพร ไม่ว่าจะประกอบธุรกิจโดยบุคคลธรรมดา หรือบริษัทจำกัด ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล รายได้ที่ได้รับจากการประกอบกิจการเหล่านี้ ถือเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 40(8) และต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม

สรุป...ภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับคลินิกเสริมความงาม
ภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับคลินิกเสริมความงาม สามารถแยกตามประเภทการให้บริการ และการขายสินค้าที่ขายในคลินิกเสริมความงาม เช่น นวดหน้า นวดตัว สปา รักษาสิว ฝ้า กระ โบท็อกซ์ ร้อยไหม ดูแลผิวพรรณ รวมถึงศัลยกรรมตกแต่ง แยกประเภทได้ดังนี้  

- รายได้เกี่ยวกับสิว ฉีดสิว ลดรอยสิว แผลเป็นจากสิว และรักษาสิว รอยด่างดำ ฝ้า กระ ครีมบำรุง
- รายได้ค่าขายอาหารเสริม
​- รายได้จากการฉีดโบท็อกซ์ ร้อยไหม ฉีดสารเติมเต็ม
​- รายได้จากการขายครีมสำหรับทาหลังทำศัลยกรรม
​- รายได้จากค่าฉีดบำรุงด้วยวิตามิน ล้างสารพิษ เมโสหน้าใส

รายได้ทั้งหมดนี้ หากเป็นรายได้จากการประกอบกิจการสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล และอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดว่าด้วยสถานพยาบาลกำหนด จะถือว่าเป็นรายได้ของสถานพยาบาลทั้งหมด จึงทำให้คลินิกเสริมความงามได้ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม คือไม่ต้องเสียภาษีมูค่าเพิ่ม

ในทางตรงกันข้าม หากกคลินิกเสริมคงามงามไม่ได้ประกอบกิจการภายใต้กฎหมายสถานพยาบาล สินค้าที่ขายอยู่ในคลินิกเสริมความงาม อย่างเช่นขายอาหารเสริมโดยไม่ได้มีข้อแนะนำจากแพทย์ผู้รักษาพยาบาล จะถือเป็นรายได้ที่อยู่ในเงื่อนไขต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มนั่นเอง

 

อ่านบทความน่ารู้เกี่ยวกับภาษีเพิ่มเติม คลิกที่นี่
Source : Inflow Accounting