โลกฟื้นตัว ไทยฟื้นตาม ระวังการเมือง

ตลาดหุ้นไทยยังผันผวนและเปราะบาง จากกังวลความเสี่ยงทางการเมืองในประเทศ ทําให้ SET ยังมีโอกาส Underperform ตลาดหุ้นในภูมิภาค

เข้าสู่ไตรมาส 3 พัฒนาการเศรษฐกิจโลกและไทยเริ่มเด่นชัดขึ้น ในภาพใหญ่ เศรษฐกิจโลกเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวอย่างพร้อมเพรียงในหลายจุดมากขึ้น แต่เศรษฐกิจพี่ใหญ่อย่างสหรัฐที่แม้ยังขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง จนทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ส่งสัญญาณคงดอกเบี้ยสูงยาวนานขึ้น แต่ตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวเริ่มส่งสัญญาณชะลอลงท่ามกลางแรงกดดันเงินเฟ้อที่ลดลง ด้านเศรษฐกิจยุโรปและเอเชียเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวมากขึ้น 

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกยังคงถูกปกคลุมด้วยความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงความเสี่ยงการเมืองในหลายประเทศ เช่น อินเดีย ที่ นราเรนทรา โมดี (Narendra Modi) นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันไม่สามารถได้เสียงเด็ดขาดในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อต้นเดือน ทำให้ความเป็นไปได้ของมาตรการปฏิรูปเศรษฐกิจของรัฐบาลปัจจุบันยากมากขึ้น หรือจะเป็นในฝรั่งเศส ที่ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครงของฝรั่งเศสประกาศยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ก่อนครบกำหนดถึง 3 ปี ทำให้พันธบัตรฝรั่งเศสถูกเทขาย

ทั้งนี้ เรามองว่า ในไตรมาส 3 มี 6 สถานการณ์ที่ต้องจับตา ดังนี้

ในสถานการณ์ที่หนึ่ง ประเด็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกนั้น เราเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวอย่างพร้อมเพรียง (Synchronized recovery) มากขึ้น โดยพัฒนาการการฟื้นตัวจะไล่มาจากเศรษฐกิจขนาดใหญ่ โดยเฉพาะสหรัฐ ไล่มายุโรป และปัจจุบันคือเอเชีย โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) โลกล่าสุดปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในเอเชียฟื้นตัวชัดเจนคล้ายในช่วงปี 2016-18 

ในสถานการณ์ที่สอง ในการที่วัฐจักรดอกเบี้ยโลกกำลังเข้าสู่ดอกเบี้ยขาลง โดยในประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เริ่มลดดอกเบี้ยลงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสวิสเซอร์แลนด์ แคนาดา สวีเดน และยูโรโซน ต่างเริ่มปรับลดดอกเบี้ยเมื่อเร็วๆ นี้ ส่วนธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เราคาดว่าเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่เริ่มชะลอลง จะทำให้ Fed ลดดอกเบี้ยได้ 2 ครั้ง นี้ โดยจะลดในเดือน พ.ย. และ ธ.ค. 

ในสถานการณ์ที่สาม เรามองว่า เศรษฐกิจสหรัฐเป็นสถานการณ์ Soft-landing ในปัจจุบัน โดยตลาดแรงงานลดความร้อนแรงลง เงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลงมากกว่าที่เราคาดเล็กน้อย และ (3) ภาคการผลิตชะลอตัวค่อนข้างแรงและน่ากังวล (พิจารณาจาก ISM ภาคการผลิต) 

สถานการณ์ที่สี่ ในภาพรวมของเศรษฐกิจจีน เรามองว่า เศรษฐกิจจีนยังเสี่ยงจากกับดักสภาพคล่อง แต่ตลาดหันมาเน้นเรื่องนโยบายสนับสนุน โดยเฉพาะมาตรการการคลัง ผ่านการที่รัฐบาลเริ่มประกาศขายพันธบัตรระยะยาวอายุ 20-50 ปี มูลค่า 1 ล้านล้านหยวนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยจะขายหมดในเดือน พ.ย. และคาดว่าจะทำให้ GDP เพิ่มขึ้น 1% จากกรณีฐาน นอกจากนั้น การที่ธนาคารกลาง (PBOC) เตรียมตั้งกองทุนมูลค่า 3 แสนล้านหยวน เพื่อซื้อบ้านที่ขายไม่ออก มาทำเป็นบ้านเอื้ออาทร เรามองว่า กองทุนที่จะจัดตั้งโดยธนาคารกลาง (ซึ่งมีขนาดประมาณ 10% ของมูลค่าบ้านคงค้างทั้งประเทศ) จะช่วยรับอุปทานส่วนเกินของตลาดบ้านได้บ้าง

สถานการณ์ที่ห้า เรามองว่า ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์มีแนวโน้มที่จะรุนแรงมากขึ้นก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ โดยเฉพาะประเด็นสงครามเย็นระหว่างชาติตะวันตกกับจีน โดยเรามองว่า ต้องจับตา สงครามการค้า ที่แม้มาตรการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน เช่น EV โซล่าเซลล์ และแบตเตอรี่ รวมถึงสินค้าอื่น ๆ ครั้งนี้ จะไม่รุนแรง เนื่องจากวงเงินของสินค้าที่จะขึ้นภาษีอยู่ที่ประมาณ 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่เราก็มองว่าสงครามเย็นระหว่างสหรัฐและจีนจะรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะหากทรัมพ์ได้เป็น ปธน. สมัยที่ 2 เนื่องจากทรัมพ์มีแผนที่จะประกาศภาษีศุลกากร 10% กับทุกประเทศทั่วโลก และจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจีนทุกชนิด 60%

สถานการณ์ที่หก เรามองว่าเศรษฐกิจไทยจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นในเชิง Momentum โดยตัวเลขเศรษฐกิจไทยล่าสุดส่งสัญญาณฟื้นตัวชัดเจนขึ้น ภาคอุตฯ ฟื้นตัวครั้งแรกในรอบ 19 เดือน ตามการส่งออกที่ฟื้นตัวขึ้น ส่วนภาคเกษตรฟื้นตามราคา แต่ปริมาณยังหดตัว การลงทุนเริ่มฟื้นตามการนำเข้าเครื่องจักร การบริโภคเริ่มชะลอลง แต่สินค้าคงทนเริ่มฟื้นตัวขึ้น ล่าสุด เราได้พัฒนา INVX Thailand GDP-Now Model และพบว่า 2Q24 GDP (ที่มีข้อมูลจริงเดือน เม.ย.) จะขยายตัวประมาณ 2.3% ใกล้เคียง Macro model เราที่คาดว่าจะอยู่ที่ 2.5%

อย่างไรก็ตาม เรามองว่า ความเสี่ยงเศรษฐกิจจะอยู่กับประเด็นการเมืองเป็นสำคัญ โดยเฉพาะคดีนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ว่าจะสามารถบริหารราชการต่อไปหลังการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ โดยในสถานการณ์ฐาน (Base case) เราวิเคราะห์ว่า ศาลฯ จะตัดสินเป็นคุณกับนายกฯ เศรษฐา จะทำให้กระบวนการบริหารราชการแผ่นดินในปัจจุบันยังดำเนินต่อไปได้ ทำให้เศรษฐกิจจะขยายตัวที่ 2.5% ในปี 2024 และ 3.0% ในปี 2025 ตามลำดับ แต่หากศาลฯ ตัดสินไม่เป็นคุณกับนายกฯ เศรษฐา และนำมาสู่กระบวนการสรรหานายกฯ ใหม่ จะทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้และปีหน้าชะลอตัวลง

ในส่วนคำแนะนำการลงทุน เรามองว่าตลาดหุ้นไทยยังผันผวนและเปราะบาง จากกังวลความเสี่ยงทางการเมืองในประเทศ ทําให้ SET ยังมีโอกาส Underperform ตลาดหุ้นในภูมิภาค กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนํา “Selective Buy” ใน 4 ธีม ดังนี้ 1) หุ้น Global Play ที่คาดผลประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องและได้ประโยชน์ จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมากกว่าที่จะขึ้นกับการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศที่ไม่แน่นอน เลือก KCE SCGP PTTGC 2) หุ้นที่คาดว่าผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 จะยังเติบโตดี อีกทั้ง Valuation ยังไม่แพง นอกจากนี้ยังเป็นหุ้นที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวชนะตลาดได้ เลือก ADVANC MINT TU BTG

และ OSP 3) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากการเข้าสู่บรรยากาศแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (ยูโร 2024) ในช่วงวันที่ 14 มิ.ย.-14 ก.ค. 67 เลือก ADVANC TRUE CPALL MINT TU 4) สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง แนะนำหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP

ขอให้นักลงทุนโชคดี

- รวมทุกช่องทาง InnovestX official ให้คุณได้ติดตามข้อมูลข่าวสารการลงทุนรอบโลก คลิก : https://linktr.ee/InnovestX

- เปิดบัญชีลงทุน InnovestX วันนี้! เปิดครั้งเดียวลงทุนได้ครบทั้งจักรวาลการลงทุน 

โหลดเลย คลิก https://innovestx.onelink.me/23if/ek1n76zm

- ติดตามบทวิเคราะห์การลงทุนอื่นๆ เพิ่มเติมจาก InnovestX คลิก : https://bit.ly/respublisher

#InnovestX #InnovestXResearch #InnovestXApp #จักรวาลการลงทุนในมือคุณ

*ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้