กรุงไทยจับมือ GULF - ADVANC ยื่นขอไลเซนส์ Virtual Bank ต้นเดือน ก.ย.นี้

ไทยเป็นหนึ่งประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำมหาศาลไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำทางด้านการศึกษา ด้านพื้นที่ หรือด้านสาธารณสุข ทว่าหนึ่งในความเหลื่อมล้ำที่ทำร้ายเศรษฐกิจไทย และคนไทยไม่แพ้กันคือ ความเหลื่อมล้ำทางด้านการเงิน

‘กรุงไทย’ วิตกเศรษฐกิจนอกระบบไทยโตแรง

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB) เปิดเผยข้อมูลกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ในช่วงการศึกษาดูงานเมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน วันที่ 8 ส.ค.2567 ว่า ครัวเรือนไทยเกือบ 30% ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อ และบริการทางด้านการเงินจากธนาคารพาณิชย์ได้ และผู้ประกอบการรายกลาง และรายย่อย (SMEs) เพียง 17% เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์

สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ปริมาณ SMEs ในระบบเศรษฐกิจมีอยู่เพียงประมาณ 30% ทว่ากลับจ้างงานมากถึง 70% ของแรงงานทั้งหมดในระบบ นั่นหมายความว่าหากธุรกิจเหล่านี้ประสบปัญหาทางด้านการเงิน และเข้าไม่ถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงินจะกระทบแรงงานเกือบทั้งหมดของประเทศ

หนึ่งในปัจจัยที่สร้างความเหลื่อมล้ำทางด้านการเงินให้สังคมไทยคือ ความสามารถในการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางด้านการเงินจากธนาคารพาณิชย์เนื่องจากประชาชน และธุรกิจรายย่อยรู้สึกว่าองค์กรเหล่านี้ไม่เป็นที่พึ่งของพวกเขาจึงเลือกไปขอสินเชื่อนอกระบบที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าแทน

ข้อมูลจาก ธนาคารกรุงไทย พบว่า แรงงานเพียง 49% จากจำนวนแรงงานทั้งหมดของประเทศมีข้อมูลอยู่ในระบบของสถาบันการเงิน ทว่าอีกกว่า 51% เป็นกลุ่มคนที่หายไปจากระบบ ขณะที่กลุ่มธุรกิจ SMEs เพียง 26% เท่านั้นที่มีข้อมูลอยู่ในระบบของสถาบันการเงิน จากข้อมูลทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่ายังมีประชาชน และภาคธุรกิจจำนวนมากที่เข้าไม่ถึงผลิตภัณฑ์ทางด้านการเงินแบบถูกกฎหมาย และปลอดภัย

‘กรุงไทย’ ยืนยันจับมือ GULF - ADVANC ดันเวอร์ชวลแบงก์

นายผยง กล่าวต่อว่า ดังนั้นธนาคารกรุงไทยในฐานะ “ธนาคารพาณิชย์แห่งเดียวของรัฐ” จึงยืนยันจับมือกับพันธมิตรเดิมอย่างบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) และ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (ADVANC) เพื่อเดินหน้ายื่นขอไลเซนส์ธนาคารไร้สาขา (Virtual Bank) ต่อธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในช่วงวันที่ 5 -12 ก.ย.2567 ก่อนวันหมดเขตยื่นข้อมูลของธปท. ในวันที่ 16 ก.ย.2567

โดยเขาประเมินว่า เวอร์ชวลแบงก์จะช่วยแก้ปัญหาการเข้าไม่ถึงสินเชื่อของคนที่อยู่นอกระบบโดยข้อมูลจากที่เรามีจากพันธมิตรซึ่งได้รับอนุญาตให้ใช้จะเข้ามาเป็นตัวช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์สินเชื่อประชาชนที่เขาเข้าไม่ถึงผลิตภัณฑ์การเงินแบบถูกกฎหมาย ยกตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนที่ คือ ธนาคารจะสามารถใช้ข้อมูลจากการใช้ชีวิตประจำวันเช่นข้อมูลการจ่ายเงินซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น

“เราจะสามารถระบุพฤติกรรมการใช้เงินของพวกเขาได้เช่นนายเอ ขับแกร็บแล้วขยันกว่านายบี เพราะวิ่งรอบได้มากกว่า หรือข้อมูลที่ว่าพนักงานสองคน คนหนึ่งเลิกงานแล้วไปเล่นพนันส่วนอีกคนไปเรียนพิเศษเพื่อรีสกิลตัวเอง แค่นี้ก็บอกได้ส่วนหนึ่งแล้วว่าธนาคารควรปล่อยสินเชื่อให้ใคร”

“หรือข้อมูลการใช้จ่ายในห้างสรรพสินค้า คนหนึ่งเข้าห้างทุกวันไปซื้อสุรา อีกคนซื้ออาหารที่มีคุณภาพกินตลอดเวลาในราคาที่เหมาะสม ส่วนอีกคนซื้ออาหารที่ลดราคาตลอด ขณะที่อีกคนซื้ออาหารซูปเปอร์พรีเมียมเป็นเวลา 1-2 ปี ข้อมูลเหล่านี้ก็สามารถบ่งบอกได้แล้วว่าใครเป็นคนหัวสูง ข้อมูลทั้งหมดเรียกว่า Captive Ecosystem ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจพฤติกรรมคนที่อยู่ในสังคม เพราะฉะนั้นเวอร์ชวลแบงก์ต้องมีข้อมูลตรงนี้เพื่อเข้าใจระบบนิเวศของคนให้ครบวงจร”

‘กรุงไทย’ จับมือยักษ์พลังงาน-โทรคมนาคม กินรวบธุรกิจ (?)

เมื่อถามว่า การจับมือกันของยักษ์ใหญ่ทางธุรกิจสามเจ้าอย่างกรุงไทย กัลฟ์ และแอดวานซ์ ถือว่าเป็นการ “กินรวบ” ในอุตสาหกรรมธนาคารไร้สาขาแทนการช่วยเหลือประชาชนตัวเล็กตัวน้อยหรือไม่ นายผยง กล่าว ตัวอย่างจำนวนมากในต่างประเทศทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จ และไม่ใช่ธุรกิจที่จะทำได้ง่ายๆ

โดยจุดประสงค์ของการเดินหน้าทำเวอร์ชวลแบงก์ครั้งนี้มุ่งเน้นทำกำไรไปพร้อมกับการยกระดับเศรษฐกิจประเทศไทยให้ประชาชนเข้าถึงสินเชื่อมากขึ้น ซึ่งผลประโยชน์จากการช่วยเหลือเศรษฐกิจครั้งนี้มีมากกว่าผลเสียจากการผูกขาดทางธุรกิจแน่นอน

“เจ้าพ่อเอไออย่างแอนดริว อึ่ง (Andrew Ng) ที่พึ่งให้สัมภาษณ์สื่อดังๆ ในไทยเขาบอกเลยว่าเทคโนโลยีเป็นตัวสร้างความเหลื่อมล้ำตอนต้น คนที่จะมีความสามารถเข้าถึงปัญญาประดิษฐ์ได้ต้องมีเงิน และมีกำลัง แต่เมื่อผ่านไปจุดหนึ่ง เมื่อเทคโนโลยีขยายวงกว้างมากขึ้น มันจะ Democratize (สร้างความเท่าเทียม) ดังนั้นเมื่อเราอยู่ในระบบทุนนิยม มันต้องขับเคลื่อนด้วย Incentive (เม็ดเงิน) ก่อน”

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์