‘กองทุน’ปรับโหมดลงทุน ยก‘ตลาดเกิดใหม่-เอเชีย’สดใส
ย่างก้าวเข้าสู่ 3 เดือนสุดท้ายของปี 2567 สถานการณ์การลงทุนยังคงเผชิญ “แรงกดดัน” จากความ “เสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์” หลังอิหร่านยิงขีปนาวุธตอบโต้อิสราเอลที่บุกโจมตีทางตอนใต้ของเลบานอน ทำให้เกิดแรงขายใน “สินทรัพย์เสี่ยงสูง” ระยะสั้นอีกครั้ง !!
“กรุงเทพธุรกิจ” รวบรวมมุมมอง “นักวิเคราะห์” ประเมินความเสี่ยงในประเด็นดังกล่าว ว่า คาดน่าจะยัง “ไม่ขยายวงกว้าง” เนื่องจากอิหร่านตอบโต้ตามสัญญาณที่เคยเตือนอิสราเอลที่บุกโจมตีเลบานอนไว้ในสัปดาห์ก่อน
รวมทั้งในช่วงเดือนพ.ย. นี้ ยังมีความไม่แน่นอนในฝั่ง “เศรษฐกิจสหรัฐ” และยังมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับภาวะ “เศรษฐกิจถดถอย”(Recession) ในปี 2568 ดังนั้น ในมุมมองของ “2ผู้จัดการกองทุน” ประเมินทิศทางการลงทุนในไตรมาส 4 ปี 2567 ยังคงต้องเผชิญกับ “ความผันผวนเพิ่มขึ้น” จากไตรมาส 3 ที่ผ่านมา
“บดินทร์ พุทธอินทร์” ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) มีมุมมองว่า คาดสถานการณ์ยังคงผันผวนเพิ่มขึ้น ! ปัจจัยหลักๆ เป็นเรื่องความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐ แม้ว่าตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ยังเป็นการขยายตัวอยู่ระดับ 3% ก็ตาม แต่ก็ยังคงมีความเสี่ยงที่แอบอยู่
ขณะที่ “ธนาคารกลางสหรัฐ” (เฟด) คาดว่าเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง แต่ต้องจับตาดูว่าในการประชุมสองครั้งที่เหลือ เฟดจะลดดอกเบี้ยตาม Dot plot หรือไม่ หากเป็นไปตาม Dot Plot ในปีนี้จะมีการลดดอกเบี้ยอีก 0.5% และช่วงต้นพ.ย.นี้ ยังมีประเด็น “การเลือกตั้งสหรัฐรวมถึงความไม่สงบในตะวันออกกลาง”
ดังนั้น ทำให้ช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ “ปรับโหมดการลงทุนสู่โหมดระมัดระวังมากขึ้น” และให้น้ำหนักลงทุมาที่ “ฝั่งเอเชียเพิ่มขึ้น” จากเงินทุนที่คาดว่าจะไหลเข้าจากการที่เฟดปรับลดดอกเบี้ย
โดยสินทรัพย์ที่ให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น คือ “หุ้นกลุ่มภูมิภาคเอเชีย อินเดีย และจีน” ที่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ขณะที่ในฝั่งสหรัฐ แนะนำหุ้นเป็น “กลุ่ม Defensive” เช่น Healthcare และ Infrastructure
ขณะที่ ตราสารหนี้ภาครัฐ และ เอกชนกลุ่ม Investment grade ยังคงชื่นชอบ เพราะได้ประโยชน์จากการที่เฟดรวมถึงอาจมีธนาคารกลางอื่นเริ่มมีการลดดอกเบี้ยลงตามเฟด
“ธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์” กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) มองว่าช่วงไตรมาส 4 นี้ “ตลาดหุ้นเกิดใหม่” (Emerging Markets) น่าสนใจลงทุนมากขึ้นจากได้ประโยชน์จาก “เม็ดเงินลงทุน” (Fund Flow) ไหลเข้า สะท้อนจาก “ดอลลาร์อ่อน” เทียบสกุลเงินในประเทศตลาดเกิดใหม่
โดยมีปัจจัยหนุนจากฟดปรับลดดอกเบี้ยลง 0.50% ในการประชุมเฟด18 ก.ย. ที่ผ่านมา ถือเป็นสัญญาณของจุดเริ่มต้นในการเข้าสู่ วัฏจักรดอกเบี้ย “ขาลง” และเฟดยังมีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมอีก 2 ครั้งที่เหลือของปี 2567 และส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยรวม 1.00% ในปี 2568
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นเกิดใหม่ยังมีอีกหลายตลาดที่มีเรื่องราวการเติบโตน่าสนใจ เช่น “ตลาดหุ้นอินเดีย” มีการเติบโตเชิงโครงสร้าง (Structural Growth) และเป็นประเทศหนึ่งที่จีดีพีโตเร็วที่สุดในโลกระดับ 6-7% ต่อปี
“ตลาดหุ้นเกาหลีใต้และไต้หวัน” มีเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับเซมิคอนดักเตอร์ เป็นหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นที่ต้องการของอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI
ดังนั้น บลจ.เอ็มเอฟซี มองเป็นจังหวะในการเข้าลงทุนตลาดหุ้นหุ้นเกิดใหม่เพื่อโอกาสในการสร้างผลตอบแทนในระยะยาวและสามารถนำไปจัดพอร์ตกระจายการลงทุน เพื่อกระจายความเสี่ยงในช่วงไตรมาส 4 นี้
เพราะยังมี “ปัจจัยเสี่ยง” ยังต้องติดตามการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนพ.ย. นี้ หาก “โดนัลด์ ทรัมป์” ชนะการเลือกตั้ง อาจเป็นความเสี่ยงต่อตลาดหุ้นจากการขึ้นกำแพงภาษีใส่ประเทศจีน และประเทศอื่น ๆ
ท้ายสุด “ธนโชติ” แนะว่าตลาดหุ้นเกิดใหม่ มักมีความผันผวนสูงกว่าตลาดหุ้นพัฒนาแล้วนักลงทุนควรคำนึงถึงสัดส่วนการลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้สำหรับการลงทุนระยะกลางถึงยาว !!