ถ้าทรัมป์มา ปี 2025 จะเกิดอะไร? ผ่านมุมมอง ‘อมรเทพ จาวะลา’
‘อมรเทพ จาวะลา’ ชี้ หากทรัมป์มา คงเห็นการเปลี่ยนแปลงไม่มาก เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงที่จะดำเนินนโยบายต่อเนื่องจากประธานาธิบดีไบเดน ดังนั้น หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เศรษฐกิจไทยปี 2025จะเต็มไปด้วยทั้งโอกาสและความท้าทาย
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐวันที่ 5 พ.ย. 2024 กำลังจะส่งผลให้เกิดความผันผวนและความเปลี่ยนแปลง สำนักวิจัยฯประเมินฉากทัศน์ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับการเลือกตั้งใหม่ เพราะหากรองประธานาธิบดีแฮร์ริสชนะ คงเห็นการเปลี่ยนแปลงไม่มาก
เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงที่จะดำเนินนโยบายต่อเนื่องจากประธานาธิบดีไบเดน ดังนั้น หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เศรษฐกิจไทยปี 2025จะเต็มไปด้วยทั้งโอกาสและความท้าทาย
ด้านบวก (1) เศรษฐกิจโลกจะรอดจากภาวะถดถอย เพราะมาตรการลดภาษีนิติบุคคลจะกระตุ้นให้ธุรกิจในสหรัฐเพิ่มการจ้างงานและปรับขึ้นค่าแรง ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเติบโตขึ้น
(2) ราคาน้ำมันดิบโลกจะลดลงจากนโยบายส่งเสริมการผลิตน้ำมันในสหรัฐและการทำข้อตกลงที่เป็นประโยชน์กับประเทศในตะวันออกกลางและรัสเซีย เป็นผลดีต่อประเทศที่นำเข้าพลังงานอย่างไทยและจะช่วยลดค่าครองชีพของคนในประเทศ และ
(3) มีการย้ายฐานการลงทุนมาไทยเพิ่มขึ้น เพราะภาษีการค้าที่กำหนดต่อจีนจะกระตุ้นให้บริษัทจีนย้ายการดำเนินงานไปยังประเทศอื่น ช่วยเสริมสร้างอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และดิจิทัล
ด้านลบ
(1) การส่งออกของไทยเสี่ยงโตช้า จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน และความกังวลว่าการค้าระหว่างประเทศจะหยุดชะงัก
(2) ต้นทุนกู้ยืมของรัฐบาลจะอยู่ระดับสูงตามความเสี่ยงทางการคลัง ไม่ใช่เพียงแต่ในสหรัฐแต่รวมถึงไทยด้วย เพราะอัตราผลตอบแทนพันบัตรรัฐบาลมักเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน และ
(3) รายได้ภาคเกษตรของไทยเสี่ยงลดลงตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก กดดันให้อุปสงค์ในประเทศไทยอ่อนแอตาม
ฉากทัศน์ของเศรษฐกิจไทยปี 2025 ในบริบทของภูมิทัศน์เศรษฐกิจและการเงินโลกที่เปลี่ยนแปลงไปภายใต้ประธานาธิบดีทรัมป์ มีประเด็นสำคัญที่น่าจับตา ดังนี้
โลกาภิวัตน์ตีกลับ - การค้าโลกหยุดชะงัก
ภายใต้นโยบายภาษีสินค้านำเข้าของทรัมป์และข้อจำกัดทางการค้า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทรัมป์จะกำหนดภาษีนำเข้า 60%
สำหรับสินค้าจีน ทำให้การค้าระหว่างสองประเทศลดฮวบ บริษัทจีนจะเผชิญแรงกดดันหนักขึ้น เกิดการไหลออกของเงินทุน การย้ายฐานอุตสาหกรรม และบางบริษัทอาจย้ายมาไทย ทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตของจีน
สำหรับบริษัทจีนที่ดำเนินงานในไทยและประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนอยู่แล้วไม่น่าจะถูกกระทบทางตรง ส่วนผู้ผลิตจีนที่โยกย้ายมาไทยเพื่อเลี่ยงภาษีนำเข้าของสหรัฐ จะเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV) อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ และเครื่องจักร แม้การเปลี่ยนแปลงนี้จะเพิ่มบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางการผลิตของจีนในภูมิภาค แต่การย้ายฐานนี้จะไม่สามารถชดเชยการลดลงของการค้าของโลกได้ การค้าภูมิภาคจะชะลอลง เพราะเมื่อจีนส่งออกลดลง จีนจะลดการนำเข้าวัตถุดิบจากอาเซียน
อย่างไรก็ตาม ผู้ส่งออกไทยมีโอกาสช่วงชิงสัดส่วนการนำเข้าของสหรัฐมากขึ้นหรือแย่งส่วนแบ่งการตลาดของจีนในสหรัฐที่ลดลง แม้ว่าไทยจะเผชิญภาษีนำเข้า10% แต่สินค้าไทยจะยังคงมีราคาถูกกว่าสินค้าที่ผลิตในสหรัฐกรณีทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง คาดว่าส่งออกของไทยจะขยายตัวราว 1.0% แทนที่จะอยู่ที่ระดับ 2.6%
ขณะที่กรณีแฮร์ริสชนะไทยต้องรับมือกับความไม่แน่นอนของความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและจีน ไทยในฐานะผู้เล่นในภูมิภาคอาเซียนที่ไม่เข้าข้างฝ่ายใดต้องระมัดระวังในการจัดการด้านความสัมพันธ์กับทั้งสหรัฐและจีน เพื่อหลีกเลี่ยงการตกอยู่ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น
ไทยสามารถเพิ่มบทบาทในเวทีโลกโดยใช้แพลตฟอร์มอาเซียนเพื่อส่งเสริมการค้าขายและการลงทุนในภูมิภาค รวมทั้งใช้ความเข้มแข็งของอาเซียนดึงดูดการลงทุนต่างชาติ (FDI)
ขณะเดียวกันก็หลีกเลี่ยงอุปสรรคทางการค้าที่เกิดจากสหรัฐโดยใช้อาเซียนเพิ่มอำนาจต่อรอง นอกจากนี้ ไทยสามารถร่วมมือกับอาเซียนในการสกัดสินค้านำเข้าราคาถูกจากจีน ที่คุณภาพไม่ได้มาตรฐานหรือมีจุดประสงค์ในการทุ่มตลาด จนกระทบ SMEs และทำให้ภาคการผลิตของไทยอ่อนแอลง
อย่าคิดว่าบาทจะแข็งลากยาว
กรณีทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง แม้เฟดอาจปรับลดดอกเบี้ยลงมากกว่าที่คาดไว้เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐรอดพ้นจากภาวะถดถอยจากสงครามการค้า ดอลลาร์สหรัฐน่าจะอ่อนค่าตามทิศทางดอกเบี้ยที่ลดลง แต่คาดว่าตลาดจะให้น้ำหนักกับความเสี่ยง
รวมทั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอาจยังคงอยู่ในระดับสูง สะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลงบประมาณและหนี้สาธารณะที่สูงขึ้น
ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนที่สูงจะทำให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยงในตลาดเกิดใหม่และนำเงินกลับไปถือดอลลาร์สหรัฐแทน ทำให้ดอลลาร์แข็ง บาทอ่อน
โดยคาดว่าเงินบาทอาจอ่อนค่าลงถึงระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปลายปี 2025 เงินบาทอ่อนค่าจะทำให้สินค้านำเข้าแพงขึ้น โดยเฉพาะเครื่องจักรและวัตถุดิบ ส่งผลให้เกิดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ
อย่างไรก็ดี ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจลดดอกเบี้ยนโยบายตามเฟดเพื่อลดความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ แม้จะทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงอีก ซึ่งธปท. อาจให้ความสำคัญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่าการควบคุมเงินเฟ้อ
นอกจากนี้ การไหลออกของเงินทุนจากตลาดเกิดใหม่ รวมถึงไทย จะเพิ่มความผันผวนทางการเงิน ส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลและธุรกิจอยู่ในระดับสูง ในทางตรงข้าม หากแฮร์ริสชนะการเลือกตั้ง เฟดจะทยอยปรับลดดอกเบี้ยตามทิศทางเงินเฟ้อที่ลดลง นักลงทุนจะลดความสนใจในเงินดอลลาร์ลง เงินบาทน่าจะแตะระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปลายปี 2025
เศรษฐกิจสหรัฐรอดจากภาวะถดถอย
เศรษฐกิจสหรัฐภายใต้ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่น่าเผชิญภาวะถดถอยในปี 2025 และอาจเติบโตได้เหนือระดับ 2.0% มากกว่ากรณีแฮร์ริสชนะเลือกตั้ง แต่คงโตได้ดีระยะสั้น เพราะนโยบายหลายอย่างของทรัมป์จะนำไปสู่การเติบโตที่ช้าลงในระยะกลางถึงระยะยาว
รวมทั้งความเสี่ยงเศรษฐกิจที่มากขึ้นในปีถัดๆ ไป นโยบายของทรัมป์ที่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐที่ชัดเจนอย่างหนึ่งคือการลดภาษีนิติบุคคล จาก 21% เป็น 15%
ซึ่งจะช่วยส่งเสริมภาคธุรกิจในสหรัฐ จ้างงานหรือเพิ่มค่าแรงขึ้น อันจะช่วยชดเชยค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นจากภาษีนำเข้าอย่างไรก็ตาม เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง และจะทำให้ค่าแรงที่แท้จริง หรือค่าแรงที่ได้รวมคาดการณ์เงินเฟ้อไว้แล้ว กลับมาลดลงได้ในระยะต่อไป ใน
ขณะที่ทรัมป์ไม่น่าจะปรับลดรายจ่ายภาครัฐแม้รายรับภาษีลดลง ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้น เมื่อเกิดความไม่สมดุลทางการคลังในระยะยาว อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจะทรงตัวในระดับสูงกระทบต้นทุนการกู้ยืมของครัวเรือนและการระดมทุนของภาคธุรกิจ ราคาสินค้าจึงปรับตัวสูงขึ้นทำให้เงินเฟ้อยังจะอยู่สูงกว่าระดับเป้าหมาย แต่ที่ราคาสินค้าและบริการยังปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ก็เพราะอุปสงค์ในสหรัฐจะยังแข็งแกร่งในปี 2025 จากมาตรการของทรัมป์
ราคาน้ำมันดิ่ง
ทรัมป์น่าจะสนับสนุนการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในสหรัฐ และสหรัฐมีน้ำมันดิบสำรองในปริมาณมากพอจะใช้ในประเทศและส่งออกได้ โดยทรัมป์ไม่น่ากังวลต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมหรือภาวะโลกร้อน
รวมทั้งมองว่าเทคโนโลยีในการขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐที่ก้าวหน้าจะส่งผลดีต่อการจ้างงานและเศรษฐกิจสหรัฐ อีกทั้งคนอเมริกันจะสามารถใช้พลังงานในราคาที่ถูกลงส่งผลดีต่อเงินเฟ้อสหรัฐที่น่าจะลดลงตาม ขณะที่ภาคต่างประเทศ ทรัมป์จะเจรจาหาข้อตกลงที่เป็นประโยชน์กับประเทศตะวันออกกลางและรัสเซียเพื่อยุติสงคราม เมื่อความเสี่ยงด้านความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์คลี่คลายลง อุปทานน้ำมันดิบในตลาดโลกที่มีเสถียรภาพจะทำให้ราคาน้ำมันทั่วโลกปรับตัวลดลง
สำหรับประเทศไทย ราคาน้ำมันที่ลดลงจะช่วยลดต้นทุนการนำเข้าสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน ทำให้ดุลการค้าเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ราคาสินค้าเกษตรจะลดลงตามต้นทุนพลังงานและปุ๋ย และปรับตัวลดลงตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก ส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกรไทย ทำให้กำลังซื้อลดลง
โดยเฉพาะในกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้น้อย ซึ่งจะเพิ่มแรงกดดันต่ออุปสงค์ภายในประเทศให้อ่อนแอลง ทั้งนี้คาดว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะเฉลี่ยที่ระดับ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในกรณีที่ทรัมป์ชนะเทียบกับระดับ 75 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในกรณีที่แฮร์ริสชนะ
เศรษฐกิจไทยใต้เงาทรัมป์
เศรษฐกิจไทยภายใต้นโยบายการค้าและนโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์ น่าจะมีความผันผวนมากกว่ากรณีของแฮร์ริส โดยเฉพาะจากความพยายามลดทอนอำนาจทางเศรษฐกิจของจีน ซึ่งจะกดดันการค้าและการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน
ทั้งนี้ สำนักวิจัยฯมองว่าเศรษฐกิจไทยปี 2025 จะขยายตัวได้เพียง 2.5% ในกรณีของทรัมป์ เทียบกับ 3.2% ในกรณีของแฮร์ริส โดยคาดว่า นอกจากการส่งออกที่จะชะลอและกดดันการลงทุนภาคเอกชนให้เติบโตช้าลงแล้ว ความต้องการในประเทศจะอ่อนแอตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลง
โดยเฉพาะ ข้าว ยางพารา และมันสำปะหลัง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อรายได้ภาคการเกษตรทั่วประเทศ รวมทั้งครัวเรือนที่มีรายได้น้อยในพื้นที่ชนบทจะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการลดลงของกำลังซื้อ แต่เชื่อว่าการบริโภคภาคเอกชนยังเติบโตได้ด้วยแรงขับเคลื่อนจากภาคการท่องเที่ยวและจากมาตรการแจกเงินของรัฐบาล
ในส่วนของมาตรการทางการเงิน มองว่าธปท.จะปรับลดดอกเบี้ยเพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศและลดความเสี่ยงด้านภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจแม้การลดดอกเบี้ยจะทำให้เงินบาทอ่อนค่าและเพิ่มแรงกดดันด้านเงินเฟ้อต่อสินค้านำเข้ามากขึ้นก็ตาม
สำนักวิจัยฯ มองว่าดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะอยู่ที่ระดับ 1.25% ในกรณีของทรัมป์ เทียบกับที่ระดับ 1.50% ในกรณีของแฮร์ริส