‘ทองคำ’จ่อทะลุ3พันดอลลาร์ กังวล‘การคลังสหรัฐ’เสี่ยงเพิ่ม

‘ทองคำ’จ่อทะลุ3พันดอลลาร์ กังวล‘การคลังสหรัฐ’เสี่ยงเพิ่ม

“ราคาทองคำ” พุ่งแรงทุบสถิติรายวัน ล่าสุดทั้ง ”ทองนอก-ทองไทย“เดินหน้าทำ จุดสูงสุดใหม่ เป็นประวัติการณ์ที่ 2,782 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และ 45,050 บาท รับสารพัดปัจจัยหนุน นักลงทุนเก็งผล ทรัมป์ชนะเลือกตั้งปธน. สหรัฐ เพิ่มเสี่ยงศก.สหรัฐ-สงครามตะวันออกกลาง-ธนาคารกลางตุนทองต่อ

วายแอลจี” ชี้ไปต่อได้ถึง 2,850 ดอลลาร์ และทองไทยมีโอกาสไปต่อ “บล.ดาโอ” ปรับเป้าราคาปลายปีแตะ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ “สภาทองคำโลก” ชี้ดีมานด์ทองโลกทะลุ 1 แสนล้านดอลลาร์ครั้งแรก ฝรั่งเข้าซื้อไตรมาส 3 กลัวตกรถยุคทองขาขึ้น

วานนี้ (30 ต.ค.2567) “สินทรัพย์ปลอดภัย” (Safe Haven) อย่าง “ทองคำ” ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ต่อเนื่อง (All Time High) ทั้งทองคำในและต่างประเทศ โดยทองคำไทยรูปพรรณขายออกสูงสุดที่ 45,050 บาท ขณะที่ ทองคำแท่งขายออกสูงสุดที่ 44,500 บาท 

โดยวานนี้ราคาทองคำในประเทศอยู่ในทิศทางผันผวน เปิดตลาดปรับตัวขึ้นแรงสุด 350 บาท โดยระหว่างวันปรับขึ้น-ลง 11 ครั้ง 

อย่างไรก็ตาม เดือนต.ค.นี้ เป็นเดือนที่ทองคำปรับขึ้นมากที่สุดถึง 4,050 บาท และตั้งแต่ต้นปีมานี้ ราคาทองคำปรับขึ้นมาแล้วถึง 10,800 บาท จากระดับต่ำสุดช่วงต้นปีนี้ที่ 33,400 บาท

โดยปัจจัยหนุนให้ราคาทองคำ “ปรับตัวขึ้น” และยังอยู่ใน “ทิศทางขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง” มาจาก 1.“ความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ” ในสัปดาห์หน้านักลงทุนระมัดระวังต่อความเป็นไปได้ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ อาจคว้าชัยในการเลือกตั้ง ประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งจากแนวทางนโยบายของทรัมป์ มีแนวโน้มหนุนให้เงินเฟ้อค้างตัวในระดับสูง และเพิ่มความเสี่ยง ในประเด็นทางการคลังของสหรัฐ

ประกอบกับ 2. ความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงความร้อนแรงอยู่ในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน และ 3. ความต้องการทองคำที่มากขึ้นจากทางธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางของจีนที่มีการเข้าสะสมทองคำอย่างต่อเนื่องเพื่อกระจายความเสี่ยงในด้านทุนสำรองระหว่างประเทศ

ดีมานด์ “ทองคำโลก” ทะลุ 1 แสนล้านดอลลาร์ครั้งแรก

สภาทองคำโลก (WGC) เปิดเผยว่า ความต้องการทองคำทั่วโลกในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5% ขึ้นไปทำสถิติใหม่ทะลุระดับ 1 แสนล้านดอลลาร์ได้เป็นครั้งแรกแล้ว 

ความต้องการทองคำในไตรมาสที่แล้วเพิ่มขึ้นไปแตะระดับ 1,313 ตัน โดยได้การลงทุนเพิ่มขึ้นจากฝั่งตะวันตก ซึ่งรวมถึงการลงทุนรายบุคคลของ “กลุ่มผู้มีความมั่งคั่งสูง” (HNW) เข้ามาช่วยชดเชยแทนแรงซื้อที่ลดลงจากฝั่งเอเชีย ในขณะที่แรงซื้อของบรรดากองทุน ETF ทองคำก็พลิกกลับมาเป็นซื้อสุทธิในไตรมาสนี้ หลังจากที่มีกระแสเงินไหลออกเป็นเวลานาน

จอห์น รีด หัวหน้านักกลยุทธ์ตลาดของ WGC กล่าวว่า ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นมากในปีนี้ โดยพุ่งขึ้นไปแล้วมากกว่า 1 ใน 3 และทำราคาสูงสุดทุบสถิติใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักจากแรงซื้อที่แข็งแกร่งของกลุ่มธนาคารกลาง และความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นจากกลุ่มนักลงทุนความมั่งคั่งสูง รวมถึงการปรับทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไปสู่วัฎจักรการลดดอกเบี้ย ในขณะที่การซื้อขายนอกตลาด (OTC) ก็กำลังกลายเป็นปัจจัยสำคัญต่อราคาทองมากขึ้นเช่นกัน

ทั้งนี้ ราคาทองสปอตปรับตัวขึ้นไปแตะระดับสูงสุดทุบสถิติใหม่เหนือ 2,782 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ระหว่างการซื้อขายเมื่อวันที่ 30 ต.ค. โดยราคาทองปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกเดือนในปีนี้ ยกเว้นเพียงแค่เดือน ม.ค. และ มิ.ย. ที่ย่อตัวลงมาเล็กน้อยอยู่ในระดับคงที่

“การปรับฐานที่เกิดขึ้นแค่เล็กน้อยและเป็นแค่ช่วงสั้นนั้น บ่งชี้ชัดเจนถึงแรงซื้อแบบ FOMO” รีดกล่าวถึงการซื้อแบบกลัวตกรถ หรือกลัวที่จะพลาดโอกาสของนักลงทุน

ในขณะที่วัฏจักรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยกำลังดำเนินไป WGC คาดการณ์ว่าจะได้เห็นการลงทุนในทองคำเพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัจจัยความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์โดยเฉพาะ “การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ” ที่กำลังขับเคี่ยวกันอย่างสูสี และจะมีขึ้นในสัปดาห์หน้าวันที่ 5 พ.ย. จะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผู้ลงทุนต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำมากขึ้น

ทั้งนี้ กระแสการลงทุนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้น 13% ในไตรมาสที่ 3 โดยแรงซื้อกองทุน ETF ทองคำแท่ง และเหรียญทองทั้งหมดพุ่งแตะระดับสูงสุดครั้งใหม่ นับตั้งแต่รัสเซียทำสงครามบุกยูเครนในปี 2565 ขณะที่การซื้อของธนาคารกลางยังคงดำเนินต่อไป นำโดยโปแลนด์ ฮังการี และอินเดีย เป็น 3 ประเทศผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุด แม้ว่าแรงซื้อในภาพรวมของกลุ่มธนาคารกลางจะชอลอตัวลงก็ตาม ส่วนดีมานด์ทองรูปพรรณในแง่เครื่องประดับปรับตัวลดลงเนื่องจากราคาที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ส่งผลกระทบต่อการบริโภคของรายย่อย

หัวหน้านักกลยุทธ์ตลาดของ WGC กล่าวด้วยว่าในอนาคตนั้น ความกังวลด้านการคลัง โดยเฉพาะหนี้สาธารณะที่พุ่งสูงขึ้นในสหรัฐ อาจกลายเป็นปัจจัยขับเคลื่อนราคาทองที่ชัดเจนขึ้น โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เคยสะท้อนความกังวลเรื่องปัญหาการขาดดุลงบประมาณที่มากเกินไปและจำเป็นต้องได้รับการแก้ไข ซึ่งเรื่องนี้เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่เพิ่มแรงซื้อทองคำนอกตลาด 

“วายแอลจีฯ” มองราคาทองคำมีโอกาสพุ่งต่อ 

นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) เปิดเผยว่า ปี 2567 ราคาทองคำทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง นับจากต้นปีที่ผ่านมา ราคาทองคำอยู่ที่บริเวณ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในปีนี้ราคาทองคำจึงปรับตัวมาแล้วกว่า 750 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ถือว่าปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้

อย่างไรก็ดี มองว่า ในปีนี้แม้จะเหลือเวลาอีกราว 2 เดือน ยังมองว่าทองคำมีโอกาสปรับขึ้นได้อีกเล็กน้อย แต่หากมีปัจจัยสนับสนุนที่แรงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ เช่น ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในรอบถัดไปที่ 0.25% หากผลออกมาพบว่าปรับลดลงมากกว่าที่คาดก็จะสนับสนุนให้ ทองต่างประเทศ ไปได้ถึง 2,800-2,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์รวมถึงหากมีปัจจัยความไม่สงบหรือเหตุปะทะในตะวันออกกลางบานปลาย ก็จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ทองคำปรับตัวขึ้นไปได้เช่นกัน

ทั้งนี้ ในสัปดาห์หน้าจะมีการเลือกตั้งสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน มองว่า จะเป็นปัจจัยที่เพิ่มกรอบการแกว่งตัวให้ราคาผันผวนมากขึ้น ขณะที่ เป้าหมายของราคาทองคำแท่ง 96.5% ในประเทศ ปีนี้อยู่ที่ประมาณ 44,800-45,600 บาท

ส่วนประเด็นเรื่องการเลือกตั้งสหรัฐนั้น นางพวรรณ์ มองว่า ภาพรวมยังคาดการณ์ได้ยาก เนื่องจากผลการเลือกตั้งยังมีความไม่แน่นนอน ซึ่งหากผลออกมาว่าฝั่ง “พรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้ง” ภาพรวม “ทิศทางทองคำ” น่าจะดำเนินต่อไปเช่นในปัจจุบัน เนื่องจากทางพรรคน่าจะยังคงการเดินนโยบายลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง

แต่หาก “พรรครีพับลิกันชนะ” จะยัง “ไม่สามารถคาดการณ์ทิศทางของตลาดทองคำได้” เพราะมีโอกาสเป็นได้ทั้งการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว และการปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากนโยบายพรรคจะเป็นการชูแคมเปญอเมริกาต้องมาก่อน ทำให้เกิดการขึ้นภาษีประเทศคู่ค้า และนโยบายที่ทำให้ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าอาจทำให้เงินเฟ้อกลับมา ดังนั้น นโยบายลดดอกเบี้ยอาจต้องชะงักไว้ ซึ่งจะกดดันทองคำ แต่หากภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐ มีความน่ากังวล ยังหนุนทองคำกลับมาพุ่งแรงได้เช่นกัน

อย่างไรก็ดีก่อนจะถึงวันเลือกตั้งและวันประชุมของเฟด ทิศทางทองคำจะเป็นลักษณะแกว่งตัวในกรอบ นักลงทุนสามารถเก็งกำไรระยะสั้น โดยมองแนวต้านที่โซน 2,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และแนวรับที่ 2,724 - 2,708 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ดังนั้น แนะนำ นักลงทุนซื้อขาย “อย่างระมัดระวัง” เนื่องจากราคาทองคำปีนี้ปรับตัวขึ้นมาไกลมากแล้ว หากทองคำไปถึงแนวต้านแนะนำให้แบ่งขายทำกำไร และหากราคาขยับไปถึงเป้าหมาย 2,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ให้ “ระวัง” แรงขายรอบใหญ่

“ทองคำพุ่ง” ปัจจัยหลักความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ 

นายธนันต์พร จรรย์โกมล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ บล. ดาโอ กล่าวว่าทองคำปรับตัวขึ้นทำ All time High อย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยหลักมาจากความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงความร้อนแรงอยู่ในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน และความต้องการทองคำที่มากขึ้นจากทางธนาคารกลางต่างๆทั่วโลกโดยเฉพาะธนาคารกลางของจีนที่มีการเข้าสะสมทองคำอย่างต่อเนื่องเพื่อกระจายความเสี่ยงในด้านทุนสำรองระหว่างประเทศ

รวมถึงความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาส่งผลให้นักลงทุนมีการเข้าถือทองคำมากขึ้นเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง ซึ่งตัวเลขเม็ดเงินที่ไหลเข้ากองทุน Gold ETF ที่สูงขึ้น แสดงให้เห็นถึงความต้องการทองคำที่แข็งแกร่ง หนุนให้ราคาทองคำยังอยู่ในทิศทางขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ยังมีมุมมองเป็น Overweight ต่อการลงทุนทองคำ โดยสามารถเข้าลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงได้ในสัดส่วนที่เหมาะสม ทั้งนี้ เราปรับราคาเป้าหมายทองคำต่างประเทศ ขึ้นจาก 2,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ไปเป็น 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ภายในสิ้นปีนี้