สนามกีฬาทั่วโลกผู้รับผลประโยชน์ตัวจริง จากปรากฏการณ์ ‘Swiftonomics’

สนามกีฬาทั่วโลกผู้รับผลประโยชน์ตัวจริง จากปรากฏการณ์ ‘Swiftonomics’

สนามกีฬาทั่วโลกผู้รับผลประโยชน์ตัวจริง ปรากฏการณ์เหล่านี้ว่า “Switonomics” ทำให้ทุกฝ่ายยิ้มกันถ้วนหน้า แต่รู้ไหมว่าคนที่ได้ยิ้มกว้างอย่างผู้ชนะ ในปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่ร้านค้า โรงแรม หรือภัตตาคารหรอก เจ้าของทีมกีฬาที่ใช้เช่าสนามสำหรับจัดการแสดงต่างหาก

KEY

POINTS

Key points

  • ตามข้อมูลที่มีการเปิดเผยจาก Wall Street Journal ในการแสดงแต่ละรอบของ Eras Tour จะทำรายได้จากการจำหน่ายบัตรเข้าชมการแสดงเฉลี่ยที่รอบละ 10 ล้านดอลลาร์ หรือ 340 ล้านบาท โดยในบางรอบที่แสดงในสนามกีฬาขนาดใหญ่อาจทำรายได้เพิ่มมากถึง 13 ล้านดอลลาร์ แต่ถ้าเป็นสนามกีฬาที่มีขนาดเล็กลงมาหน่อยอาจจะลดลงมาที่ 6 ล้านดอลลาร์
  • คิดสะระตะแล้วในแต่ละคืนสนามกีฬาเหล่านี้จะทำรายได้ประมาณ 3-4 ล้านดอลลาร์ต่อคืน สมมติถ้าจัดการแสดงขั้นต่ำ 2 รอบ รายได้จะอยู่ที่ 6-8 ล้านดอลลาร์ หรือราว 204-270 ล้านบาท
  • แม้ว่าตัวเลขรายได้จากปรากฏการณ์ “Swiftonomics" จะเป็นเรื่องที่คงไม่เกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก หรืออาจจะเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวก็ได้ แต่หากสนามกีฬามีศักยภาพที่จะรองรับการแสดงขนาดใหญ่แบบนี้ได้ก็อาจหมายถึงหนทางในการทำรายได้ที่งดงามเพิ่ม

       ทัวร์คอนเสิร์ตสุดมหัศจรรย์ ‘Eras Tour’ ของ Taylor Swift ศิลปินหญิงอันดับหนึ่งแห่งยุคสมัยเพิ่งจะสิ้นสุดการแสดงรอบสุดท้ายไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ภายหลังจากที่เปิดการแสดงมาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2023 ซึ่งเริ่มต้นจากการแผนการทัวร์ทั่วสหรัฐอเมริกา 52 รอบ แต่กลายเป็นการทัวร์รอบโลกที่เปิดการแสดงมากถึง 149 รอบใน 5 ทวีป

          ตัวเลขที่เกิดขึ้นทางเศรษฐกิจจากการทัวร์คอนเสิร์ตครั้งนี้อยู่ในระดับ “ปรากฏการณ์มหัศจรรย์” โดยมีการประเมินคร่าวๆแล้วว่าเป็นทัวร์คอนเสิร์ตที่ทำรายได้มากเกินกว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 6.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งทำให้ Taylor Swift กลายเป็นศิลปินคนแรกที่กลายเป็นมหาเศรษฐีระดับ Billionaire หรือ “นักร้องพันล้าน”  ที่ทำรายได้จากการแสดงดนตรีเพียงอย่างเดียว

          แต่ความมหัศจรรย์นั้นไม่ได้จบแค่นั้น เพราะไม่ว่าเธอจะย่างเท้าก้าวไปที่เมืองไหน จะเกิดแรงกระตุ้นทางเศรษฐกิจที่เหลือเชื่อจากการที่เหล่า “สวิฟตี้” (Swiftie ชื่อที่เรียกแฟนเพลงของสาว Swift) เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปเพื่อชมการแสดงของเธอ ซึ่งแน่นอนว่าหมายถึงการ

ใช้จ่ายกับการเดินทาง โรงแรมที่พัก ไปจนถึงมื้ออาหาร สินค้าและบริการในเมืองที่จัดแสดงคอนเสิร์ต

มีการคำนวนกันว่าแฟนเพลงแต่ละรายอาจใช้จ่ายมากถึง 1,600 ดอลลาร์ หรือกว่า 54,000 บาทสำหรับการเดินทางไปชมการแสดงหนึ่งรอบ ซึ่งเป็นจำนวนตัวเลขที่ใกล้เคียงกับที่แฟนอเมริกันฟุตบอลยอมจ่ายสำหรับการไปชมเกมซูเปอร์โบวล์สักครั้ง เพียงแต่ความแตกต่างของเรื่องนี้คือซูเปอร์โบวล์นั้นมีขึ้นปีละหน แต่คอนเสิร์ตของ Taylor Swift มีขึ้นกว่า 149 รอบในช่วงระยะเวลา 18 เดือน

          เราเรียกปรากฏการณ์เหล่านี้ว่า “Switonomics” ที่ทำให้ทุกฝ่ายยิ้มกันถ้วนหน้า แต่รู้ไหมว่าคนที่ได้ยิ้มกว้างอย่างผู้ชนะมากที่สุดในปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่ร้านค้า โรงแรม หรือภัตตาคารหรอก เจ้าของทีมกีฬาที่ใช้เช่าสนามสำหรับจัดการแสดงต่างหาก!

เรื่องนี้ฟังเหมือนไม่น่าเชื่อแต่เป็นข้อมูลที่น่าสนใจ เพราะตลอดการทัวร์ทั้ง 149 รอบของ Taylor Swift นั้นการแสดงส่วนใหญ่ถูกจัดขึ้นที่สนามกีฬาขนาดใหญ่หลายแห่งเพราะสามารถรองรับจำนวนผู้ชมได้มากและพร้อมสำหรับการรับมือผู้ชมในจำนวนขนานมหาศาล

ใกล้ประเทศไทยที่สุดก็คือสนามกีฬาแห่งชาติสิงคโปร์ที่มีการแสดงไปถึง 6 รอบด้วยกันในระหว่างวันที่ 2-4 และ 7-9 มีนาคมที่ผ่านมา เขยิบไปอีกนิดคือที่กรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่นที่มีการแสดงที่โตเกียวโดมในระหว่างวันที่ 7-10 กุมภาพันธ์

          ขณะที่ทางฝั่งตะวันตกนั้นมีการแสดงในสุดยอดสนามกีฬาระดับตำนานอย่างสนามแอนฟิลด์ รังเหย้าของทีม “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ในประเทศอังกฤษ รวมถึงสนามซานติอาโก เบอร์นาบิว ที่มีการปรับปรุงโฉมใหม่ของทีม “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ในประเทศสเปน ขณะที่ในสหรัฐอเมริกาบ้านเกิดของสาว Swift มีการแสดงในสนามระดับเวิลด์คลาสเช่นกันทั้ง จิลเล็ตต์ สเตเดียม ในแมสซาชูเซตส์, ฮาร์ด รอค สเตเดียม ในไมอามี,​ เม็ตไลฟ์ สเตเดียม ในนิวเจอร์ซีย์ และ SoFi สเตเดียม ในลอสแองเจอลีส

          ตามข้อมูลที่มีการเปิดเผยจาก Wall Street Journal ในการแสดงแต่ละรอบของ Eras Tour จะทำรายได้จากการจำหน่ายบัตรเข้าชมการแสดงเฉลี่ยที่รอบละ 10 ล้านดอลลาร์ หรือ 340 ล้านบาท โดยในบางรอบที่แสดงในสนามกีฬาขนาดใหญ่อาจทำรายได้เพิ่มมากถึง 13 ล้านดอลลาร์ แต่ถ้าเป็นสนามกีฬาที่มีขนาดเล็กลงมาหน่อยอาจจะลดลงมาที่ 6 ล้านดอลลาร์

          ถึงกระนั้นต้นทุนของ Taylor Swift ที่ต้องจ่ายในการแสดงแต่ละครั้งมีรายจ่ายจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นค่าแรงงาน, ค่าขนส่งการเดินทาง, ค่าโปรดักชัน, ค่าเวที ไปจนถึงเงินสำหรับโปรโมเตอร์ที่จัดการแสดง

          แต่มีรายจ่ายก้อนใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งที่หลายคนอาจไม่ได้ตระหนัก นั่นคือค่าเช่าสถานที่สำหรับการแสดง หรือพูดง่ายๆก็คือค่าเช่าสนามกีฬานั่นเอง

          ตามข้อมูลแล้วจากรายได้เฉลี่ยรอบละ 10 ล้านดอลลาร์ ส่วนหนึ่งราว 2-3 ล้านดอลลาร์จะถูกจ่ายเพื่อเป็นค่าเช่าของสนามกีฬา หรือคิดเป็น 20-30 เปอร์เซ็นต์ของรายได้เลยทีเดียว

          สำหรับสนามกีฬาเหล่านี้เงินค่าเช่าสถานที่จะถูกนำไปใช้สำหรับการซ่อมบำรุงและเตรียมความพร้อมต่างๆ ซึ่งก็ใช้งบประมาณอยู่บ้างโดยเฉพาะสนามฟุตบอลที่ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับการใช้เพื่อจัดการแสดงโดยเฉพาะ โดยเฉพาะหัวใจของสนามคือส่วนของพื้นหญ้า (Pitch)

          แต่เงินค่าเช่านี้คุ้มยิ่งกว่าคุ้มโดยเฉพาะหากมีการเช่าจัดการแสดงต่อเนื่องหลายๆวัน!

          ยกตัวอย่างเช่น ในเดือนมิถุนายน - ซึ่งการแข่งขันฟุตบอลได้ปิดฉากฤดูกาลลงไปแล้ว - Taylor Swift ได้จัดการแสดงที่สนามแอนฟิลด์ในเมืองลิเวอร์พูล ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 วันด้วยกัน เช่นเดียวกับที่ จิลเล็ตต์ สเตเดียม, ฮาร์ด ร็อค สเตเดียม, โรเจอร์ส เซ็นเตอร์

          ดีดลูกคิดแล้วสนามเหล่านี้ได้ค่าเช่าเฉลี่ย 6-9 ล้านดอลลาร์เลยทีเดียว ซึ่งไม่เลวเลยเมื่อคิดถึงการปล่อยให้สนามไม่ถูกใช้งานอยู่เหงาๆในคืนวันเสาร์

          บางสนามเหมือนถูกหวยยิ่งกว่าเพราะได้ใช้งานติดต่อกันมากยิ่งกว่านั้น เช่น SoFi สเตเดียม ในลอสแองเจอลีส หรือสนามกีฬาแห่งชาติสิงคโปร์ที่จัดการแสดงเต็มๆถึง 6 รอบ

          ไม่เพียงเท่านั้นรายได้ที่จะเกิดจากการแสดงไม่ได้มาจากค่าเช่าเท่านั้น ยังมีรายได้จากการจำหน่ายอาหาร เครื่องดื่ม ของที่ระลึกที่คาดกันว่าจะทำรายได้มากกว่า 2 ล้านดอลลาร์ต่อหนึ่งรอบการแสดงเลยทีเดียว

          คิดสะระตะแล้วในแต่ละคืนสนามกีฬาเหล่านี้จะทำรายได้ประมาณ 3-4 ล้านดอลลาร์ต่อคืน

          สมมติถ้าจัดการแสดงขั้นต่ำ 2 รอบ รายได้จะอยู่ที่ 6-8 ล้านดอลลาร์ หรือราว 204-270 ล้านบาท แต่ถ้าจัดการแสดงแบบเต็มเหนี่ยว 6 คืนรายได้จะอยู่ที่ 18-24 ล้านดอลลาร์  หรือราว 612-816 ล้านบาท

          ตัวเลขเหล่านี้เป็นตัวเลขที่บรรดาเจ้าของทีมกีฬาไม่สามารถมองข้ามได้ และทำให้เห็นภาพชัดขึ้นว่าทำไมหลายสโมสรจึงพยายามจะสร้างสนามกีฬาใหม่ แม้ว่าจะผูกพันกับสนามกีฬาเดิมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานแค่ไหนก็ตาม

          ทั้งนี้แม้ว่าตัวเลขรายได้จากปรากฏการณ์ “Swiftonomics" จะเป็นเรื่องที่คงไม่เกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก หรืออาจจะเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวก็ได้ แต่หากสนามกีฬามีศักยภาพที่จะรองรับการแสดงขนาดใหญ่แบบนี้ได้ก็อาจหมายถึงหนทางในการทำรายได้ที่งดงามเพิ่ม นอกเหนือจากการจำหน่ายตั๋วเข้าชมการแข่งขันหรือหวังรายได้จากการจำหน่ายอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าที่ระลึกเพียงอย่างเดียว

          สำหรับทีมกีฬาที่ปัจจุบันมีการแข่งขันสูงทำให้มีรายจ่ายมหาศาลสำหรับความสำเร็จในสนาม และมีความผันผวนไม่แน่ไม่นอนในเรื่องลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดกีฬาซึ่งเคยเป็นแหล่งรายได้หลักมาตลอด ทีมและสนามกีฬาจึงค่อยๆถูกเปลี่ยนแปลงสถานะไป

          โดยเฉพาะสนามกีฬาที่กลายเป็นอสังหาริมทริพย์ขนาดใหญ่ ที่ไม่ใช้ประโยชน์แค่เกมกีฬา แต่ควรจะใช้งานได้หลากหลาย สนามกีฬาหลายแห่งที่สร้างขึ้นใหม่ถูกพัฒนาแบบ Mixed-use เลยทีเดียว

          แต่ถ้าให้ดีที่สุด ตอนนี้ทุกสนามคงอยากให้ Taylor Swift ออกทัวร์ทุกปีเลย สาธุๆๆ

 

อ้างอิง

huddleup.substack.com/p/how-sports-team-owners-made-millions

www.wsj.com/articles/taylor-swift-eras-tour-money-511fdfcf