ตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียกำลังจะหมดเสน่ห์สำหรับการลงทุนในปี 2025 จริงหรือ?

ตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียกำลังจะหมดเสน่ห์สำหรับการลงทุนในปี 2025 จริงหรือ?

สำหรับแนวโน้มการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนเวียดนามและอินเดียมีความโดดเด่น ส่วนในด้านการประเมินมูลค่าจะพบว่าตลาดหุ้นอินโดนีเซียและตลาดหุ้นเวียดนามมีระดับคาดการณ์ราคาหรือ Forward P/E ที่ถูกกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต

ปัจจุบันสายตาของนักลงทุนโดยส่วนใหญ่ต่างจับจ้องไปที่การหาโอกาสการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่จบลงด้วยชัยชนะอย่างเด็ดขาดของ โดนัลด์ ทรัมป์-พรรครีพับลิกัน ซึ่งพลิกผลโพลส่วนใหญ่ของสำนักข่าว และอย่างที่เราทราบกันดีว่า นโยบายหลักของ โดนัลด์ ทรัมป์ อยู่บนแนวคิดที่ต้องการให้สหรัฐฯ คงความเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก ทิ้งห่างคู่แข่งสำคัญอย่างจีนและชาติอื่นในทุกๆ ด้าน (Make America Great Again : MAGA

ดังนั้นสำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ จึงมีแนวโน้มที่จะได้อานิสงค์เชิงบวกจากนโยบายสนับสนุนบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ส่งผลให้ตลาดสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อ อย่างไรก็ตามในด้านการประเมินมูลค่า (Valuation) ของหุ้นสหรัฐฯ จะอยู่ในระดับที่แพงขึ้นเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต 

ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามจากนี้ไปคือผลกระทบจากนโยบายต่างประเทศของทรัมป์และพรรครีพับลิกัน ต่อคู่ค้าทั่วโลกโดยเฉพาะการปรับขึ้นภาษีนำเข้า การปรับจุดยืนด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและบทบาทของสหรัฐฯ สำหรับความขัดแย้งต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ในส่วนของการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าเป็นปัจจัยเชิงลบสำคัญซึ่งหากถูกบังคับใช้อย่างเข้มข้นจะกระทบต่อการค้าและการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ขณะเดียวกันสงครามการค้าอาจนำไปสู่ความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะกับจีนที่ถือว่าเป็นประเทศที่มีศักยภาพเพียงพอที่จะเป็นคู่แข่งของสหรัฐฯ อาจเผชิญกับการขึ้นภาษีนำเข้าถึง 60% 

ในขณะที่ประเทศอื่นๆ เช่น เม็กซิโก แคนาดา ก็เป็นอีกกลุ่มประเทศที่ทรัมป์ ระบุอย่างเจาะจงว่าจะมีการขึ้นภาษีนำเข้าถึง 25% นโยบายเหล่านี้ของทรัมป์จึงเป็นนโยบายที่จะส่งผลต่อการค้าระหว่างประเทศให้มีความไม่แน่นอนเพิ่มสูงขึ้น โดยภูมิภาคเอเชียเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่เป็นคู่ค้าของสหรัฐฯ ที่จะได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีเช่นกัน แต่หากจะสรุปว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียทั้งหมดกำลังจะหมดเสน่ห์ในการลงทุนในปี 2025 ก็อาจจะไม่ถูกต้องนัก เนื่องจากหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียเองมีศักยภาพในการเติบโตของเศรษฐกิจที่สูงและยังมีจุดยืนที่ดีท่ามกลางความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ 

สำหรับแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียในมุมมองมอง IMF ยังคงขยายตัวต่อเนื่องอ้างอิงการศึกษาในเดือน ต.ค. 2024 (ล่าสุด) ในบทวิเคราะห์ “World Economic Outlook: Policy Pivot, Rising Threats” ประเมินการเติบโตของ Real GDP ในภูมิภาคเอเชียปี 2024-2025 ที่ระดับ 4.4% และ 4.6% ตามลำดับ 

สำหรับประเทศที่ IMF คาดว่ามีการเติบโตของ Real GDP สูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคและสูงกว่าระดับ 5% ได้แก่ 1. อินเดีย โดยคาดการณ์ Real GDP Growth ที่ 7.0% และ 6.5% 2. เวียดนามโดยคาดการณ์ Real GDP Growth ที่ 6.1% และ 6.1% 3. อินโดนีเซียโดยคาดการณ์ Real GDP Growth ที่ 5.0% และ 5.1% ตามลำดับ นอกจากเหตุผลในด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงแล้ว จุดร่วมที่น่าสนใจของทั้ง 3 ประเทศนี้คือ ความพยายามในการวางตัวเป็นกลางระหว่างสองมหาอำนาจโลกอย่างสหรัฐฯ และจีน ดังนั้นผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดขึ้นจากการปรับขึ้นภาษีอาจน้อยกว่าประเทศอื่นๆ ที่เป็นเป้าหมายของสหรัฐฯ กล่าวคือโอกาสที่จะเข้าสู่โต๊ะเจรจาของกลุ่มประเทศเหล่านี้จะมีมากกว่า 

หากพิจารณาด้านจำนวนประชากรในยุคที่มีอัตราการเติบโตต่ำทั่วโลก โดยอ้างอิงข้อมูลจาก Worldometer ณ วันที่ 12 ธ.ค. 2024 อินเดียเป็นประเทศที่มีประชากรเป็นอันดับ 1 ของโลกที่ 1,450 ล้านคน อินโดนีเซียมีประชากรเป็นอันดับ 4 ของโลกที่ 283 ล้านคน และเวียดนามซึ่งมีประชากรราว 100 ล้านคน โดยทั้ง 3 ประเทศ มีจุดเด่นที่เหมือนกันคือ ชนชั้นกลาง (Middle Class Income) ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและค่อยๆ มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเทียบกับประชากรโดยรวม

ดังนั้นในด้านคุณภาพของการเพิ่มขึ้นของประชากรก็มีส่วนสำคัญและจะเป็นหนึ่งในตัวแปรเชิงบวกต่อแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว ซึ่งคาดว่าจะเป็นปัจจัยหนุนต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่อิงกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศ ด้วยเช่นกัน

ในส่วนของตลาดหุ้นและการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนของทั้ง 3 ประเทศ เริ่มจาก อินเดีย Bloomberg Consensus ณ วันที่ 12 ธ.ค. 2024 ประเมิน 12M Forward P/E ของดัชนี NIFTY50 ที่ระดับ 21.0X เทียบเท่ากับระดับ +0.8S.D. ของค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ในขณะที่คาดการณ์ EPS Growth ปี 2024-2025 อยู่ที่ +16.0% YoY, +12.8% YoY ถัดมาคืออินโดนีเซีย อิงดัชนี JCI Index Bloomberg Consensus ประเมิน 12M Forward P/E ที่ระดับ 11.8X เทียบเท่ากับระดับ -2.0S.D. ของค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ใน

ขณะที่คาดการณ์ EPS Growth ปี 2024-2025 อยู่ที่ +35.0% YoY, +5.2% YoY และเวียดนามอิงดัชนี VN30 Index Bloomberg Consensus ประเมิน 12M Forward P/E ที่ระดับ 10.9X เทียบเท่ากับระดับ -1.1S.D. ของค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ในขณะที่คาดการณ์ EPS Growth ปี 2024-2025 อยู่ที่ +26.9% YoY, +21.3% YoY ตามลำดับ 

ในด้านแนวโน้มการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนเวียดนามและอินเดียมีความโดดเด่น ส่วนในด้านการประเมินมูลค่าจะพบว่าตลาดหุ้นอินโดนีเซียและตลาดหุ้นเวียดนามมีระดับคาดการณ์ราคาหรือ Forward P/E ที่ถูกกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต 

สำหรับการลงทุนในระยะยาวในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียทั้ง 3 ประเทศที่เราได้พูดถึงในบทความนี้มีความโดดเด่นด้วย ปัจจัยพื้นฐานทั้งในด้านประชากร การเติบโตของเศรษฐกิจ กำไรของบริษัทจดทะเบียน และจุดยืนบนความเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาตร์โลก จึงอาจกล่าวได้ว่าการลงทุนในภูมิภาคเอเชียในประเทศเหล่านี้ยังคงมีความน่าสนใจสำหรับปี 2025 นอกเหนือจากหุ้นสหรัฐฯ ที่นักลงทุนส่วนใหญ่ใช้เป็นสัดส่วนหลักของพอร์ตการลงทุน