ค่าเงินบาทวันนี้ 20 ธ.ค. 67 ‘อ่อนค่า‘ ดอลลาร์แข็งค่า หลังเศรษฐกิจสหรัฐยังดี
ค่าเงินบาทวันนี้ 20 ธ.ค. 67 เปิดตลาด “อ่อนค่า” ที่ 34.59 บาทต่อดอลลาร์ “กรุงไทย” ชี้หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯออกมาดี ดอลลาร์แข็งค่า มองกรอบเงินบาทวันนี้ 34.35-34.75 บบาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทวันนี้ เปิดเช้านี้ที่ระดับ 34.59 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ที่ระดับ 34.51 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาท ในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.45-34.75 บาทต่อดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงตลาดรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ)
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท(USDTHB) พลิกกลับมาอ่อนค่าลง (กรอบการเคลื่อนไหว 34.47-34.63 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวมออกมาดีกว่าคาด โดย อัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 สูงถึง +3.1 Q/Q Annualized ส่วน ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานต่อเนื่อง (Continuing Jobless Claims) ก็ปรับตัวลดลงจากรายงานครั้งก่อน สะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ยังคงสดใสอยู่
ขณะที่ ดัชนีภาคการผลิตอุตสาหกรรม โดยเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียในเดือนธันวาคม กลับปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ออกมาแย่กว่าคาดชัดเจน โดยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดังกล่าวยังคงหนุนให้ผู้เล่นในตลาดต่างเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยราว 37bps ในปีหน้า หรืออาจลดดอกเบี้ยไม่ถึง 2 ครั้ง อย่างที่เฟดได้ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงต่อเนื่องของบรรดาสกุลเงินหลัก ทั้งเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) แม้ว่า BOE จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.75% แต่ก็มีคณะกรรมการ 3 ท่านเห็นควรให้ลดดอกเบี้ยลงในครั้งนี้ ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า BOE อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยในปีหน้าได้ราว 52bps หรือราว 2 ครั้ง และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เงินบาทยังถูกกดดันเพิ่มเติมจากการปรับตัวลดลงของราคาทองคำซึ่งถูกกดดันจากการปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน
บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก แม้ว่ารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวมจะออกมาดีกว่าคาด แต่ภาพดังกล่าวก็ทำให้ผู้เล่นในตลาดคงเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยไม่ถึง 2 ครั้งในปีหน้า ทำให้บรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ และหุ้นสไตล์ Growth ยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นได้ชัดเจน โดยบางส่วนอาจรีบาวด์ขึ้นบ้าง เช่น Nvidia +1.4% ขณะที่ Tesla -0.9% ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.09%
ฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาดิ่งลง -1.51% กดดันโดยความกังวลแนวโน้มการชะลอลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งส่งผลให้บอนด์ยีลด์ระยะยาวต่างปรับตัวสูงขึ้น กดดันบรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth อาทิ ASML -3.7%, LVMH -1.4%
ในฝั่งตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คงเชื่อว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด ได้หนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 4.55% อย่างไรก็ดี เราคงมุมมองเดิมว่า การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ (ที่ดูจะเป็นการ Overreact ไปบ้างในมุมมองของเรา) ยังคงทำให้ Risk-Reward ของผลตอบแทนรวม (Total Return) ของบอนด์ระยะยาวนั้นยังมีความน่าสนใจอยู่ และเปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดสามารถดำเนินกลยุทธ์ Buy on Dip บอนด์ระยะยาวของเราได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น หลังย่อตัวลงบ้างในช่วงบ่ายวันก่อน หนุนโดยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวมที่ออกมาดีกว่าคาด รวมถึงการอ่อนค่าของต่อเนื่องของบรรดาสกุลเงินหลัก ตามมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าบรรดาธนาคารกลางหลัก อย่าง BOE และ ECB ส่วนเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อ่อนค่าลงต่อเนื่องตามส่วนต่างบอนด์ยีลด์ 10 ปี ของสหรัฐฯ กับญี่ปุ่นที่กว้างมากขึ้น อีกทั้ง BOJ ก็ไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าพร้อมจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย อย่างที่ตลาดคาดหวัง ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่โซน 108.4 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 107.8-108.5 จุด) ทำจุดสูงสุดใหม่ในปีนี้ ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2025) พลิกกลับมาปรับตัวลง สู่โซน 2,600-2,610 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง แม้ว่าในช่วงวันก่อนหน้า ราคาทองคำจะสามารถรีบาวด์ขึ้นบ้าง จากแรงขายหนักหลังตลาดรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงราว 20.30 น. ตามเวลาประเทศไทย รวมถึงรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) เดือนธันวาคม ที่จะรับรู้ในช่วงราว 22.00 น. ตามเวลาประเทศไทย โดยนอกเหนือจากรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามว่า อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะสั้นและระยะยาว (Inflation Expectations) ในรายงานเดียวกันนั้นจะออกมาอย่างไรบ้าง
ซึ่งทั้งรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE รวมถึงอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ดังกล่าวก็อาจส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดได้ หลังล่าสุดเฟดได้แสดงความกังวลต่อแนวโน้มเงินเฟ้อสหรัฐฯ มากขึ้น
และในฝั่งอังกฤษ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนพฤศจิกายน ซึ่งจะช่วยสะท้อนถึงแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษ และเป็นอีกหนึ่งในปัจจัยในการประเมินทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE)