2024 ปีทองตลาด ‘บอนด์’ ผลตอบแทน-เงินลงทุนไหลเข้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์
2024 ปีทองตลาด ‘บอนด์’ ผลตอบแทนสูงสุดในรอบเกือบ 20 ปี ดึงเงินลงทุนไหลเข้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทะลุ 6 แสนล้านดอลลาร์ คึกคักทั้งตลาดหุ้น ตลาดเงินและกองทุน แต่ผลตอบแทน ‘หุ้นกู้’ ลดลง เตือนอย่าคาดหวังว่าผลตอบแทนปี 2568
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่าปี 2567 เป็นปีทองของตลาด “บอนด์” หรือตราสารหนี้ นักลงทุนทั่วโลกแห่กันลงทุนในกองทุนตราสารหนี้สูงถึง 6 แสนล้านดอลลาร์ในปีนี้ ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ที่สูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา
อัตราเงินเฟ้อที่ลดลง ทำให้ธนาคารกลางหลายประเทศตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้นักลงทุนหันมาสนใจตราสารหนี้เพื่อคว้าโอกาสนี้ หลังจากตลาดตราสารหนี้มีเงินทุนไหลออกถึง 250,000 ล้านดอลลสาร์ในปี 2565
วาซิลิกิ พาชาทูริดิ หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ตราสารหนี้ EMEA iShares ของแบล็คร็อค กล่าวว่า นักลงทุนกำลังนำเงินไปลงทุนในตราสารหนี้กันมากขึ้น เพราะผลตอบแทนที่ได้นั้นสูงมาก สูงสุดในรอบเกือบ 20 ปี
แม้ว่าผลตอบแทนจากพันธบัตรทั่วโลกโดยเฉลี่ยในปีนี้อาจจะไม่สูงมากนัก อยู่ที่ประมาณ 2% แต่เมื่อเทียบกับช่วงปลายปีที่แล้วซึ่งให้ผลตอบแทนสูงถึง 4.5% ถือว่าเป็นระดับที่น่าสนใจมาก และเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2551
จากข้อมูลของ EPFR พบว่ามีเงินจำนวนมหาศาลกว่า 6.1 แสนล้านดอลลาร์ไหลเข้าสู่กองทุนพันธบัตรทั่วโลก ทั้งในตลาดพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ ภายในกลางเดือนธ.ค. ซึ่งสูงกว่าจำนวนเงินที่ไหลเข้าในปี 2564 ที่ 5 แสนล้านดอลลาร์ ทำให้ปี 2567 มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นปีที่มีเงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดพันธบัตรมากที่สุดเป็นประวัติการณ์
ในขณะเดียวกัน นี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก โดยมีเงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นสูงถึง 670,000 ล้านดอลลาร์ สอดคล้องกับดัชนีตลาดหุ้นสำคัญ ๆ ทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรปที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ กองทุนตลาดเงิน ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำและให้ผลตอบแทนค่อนข้างดีในปัจจุบัน ก็ได้รับความนิยมอย่างมากเช่นกัน โดยมีเงินทุนไหลเข้ามากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงมาก
ผลตอบแทน ‘หุ้นกู้’ ลดลง
ปัจจุบัน “หุ้นกู้” หรือพันธบัตรที่ออกโดยบริษัทเอกชนกำลังได้รับความนิยมอย่างมากจากนักลงทุน เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า แม้ว่าธนาคารกลางทั่วโลกจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่บริษัทหลายแห่งก็ยังสามารถรักษาความสามารถในการชำระหนี้ได้ดี
จากข้อมูลดัชนีพันธบัตรองค์กรระดับโลก ICE BofA พบว่าอัตราผลตอบแทนของหุ้นกู้บริษัทได้ลดลงมาแตะระดับต่ำสุดเมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งเป็นระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2550
เงินไหลกลับสู่ ‘กองทุน’
นักลงทุนทั่วโลกกำลังให้ความสนใจกับกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน (ETF) เป็นอย่างมาก โดยมีเงินทุนไหลเข้าสู่ ETF มากกว่า 350,000 ล้านดอลลาร์ ภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายน ซึ่งนับว่าสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ตามข้อมูลจาก Morningstar Direct
มาร์ติน โอห์มเก ศาสตราจารย์ด้านการเงินจาก London School of Economics กล่าวว่า ETF ช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ได้ง่ายขึ้น เช่น พันธบัตร ซึ่งในอดีตอาจเป็นสินทรัพย์ที่เข้าถึงได้ยากสำหรับนักลงทุนรายย่อย ทำให้ ETF ช่วยแก้ปัญหาสภาพคล่องของตลาดพันธบัตรองค์กร
บริษัทผู้จัดการกองทุนแบบพาสซีฟรายใหญ่ อย่าง BlackRock และ Vanguard ได้รับประโยชน์จากเทรนด์นี้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะธุรกิจ ETF ตราสารหนี้ของ BlackRock (iShares) ที่มีเงินทุนไหลเข้าถึง 1.11 แสนล้านดอลลาร์ และ Vanguard ก็มีเงินทุนไหลเข้าสู่กองทุนตราสารหนี้ประมาณ 1.20 แสนล้านดอลลาร์ ในช่วงระหว่างเดือนมกราคมถึงสิ้นเดือนตุลาคม
ข้อมูลจาก Morningstar ระบุว่า PIMCO บริษัทจัดการกองทุนสามารถดึงดูดเงินลงทุนกลับเข้ามากองทุนตราสารหนี้ได้ประมาณ 46,000 ล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการฟื้นตัวที่น่าประทับใจ เมื่อเทียบกับการสูญเสียเงินทุนไปถึง 80,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2565
อย่าคาดหวังตลาดปี 68
สถานการณ์การไหลของเงินลงทุนอาจเปลี่ยนแปลงไปในปี 2568 หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้เงินไหลเข้าช้าลงคือ นโยบายทางเศรษฐกิจของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ที่เน้นการลดหย่อนภาษีและการผ่อนคลายกฎระเบียบ ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เติบโตอย่างรวดเร็วและดึงดูดเงินลงทุนจำนวนมาก
ข้อมูลจาก EPFR และ TD Securities แสดงให้เห็นว่าหลังจากที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งในปี 2559 มีเงินจำนวนมหาศาลถึง 117,000 ล้านดอลลาร์ไหลเข้าสู่กองทุนหุ้นสหรัฐฯ ภายในเวลาเพียง 4 สัปดาห์ ซึ่งมากกว่าเงินที่ไหลเข้าสู่ตลาดพันธบัตรทั่วโลกถึง 4 เท่าเลยทีเดียว
หลังจากนี้ บรรดานักลงทุนก็เริ่มตั้งคำถามว่ายังมีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนสูงขึ้นอีกมากน้อยเพียงใด
คาร์ล แฮมเมอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนจากธนาคาร SEB ของสวีเดน ได้เตือนนักลงทุนว่า อย่าคาดหวังว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรจะเพิ่มขึ้นมากนักในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้น หรืออย่างน้อยก็คงที่ในระดับปัจจุบัน
อ้างอิง Reuter