ทั่วโลกเทขายพันธบัตร บอนด์ยีลด์สหรัฐพุ่ง 4.7% หวั่นฉุดตลาดหุ้นร่วง
นโยบาย ‘ทรัมป์’ สัญาณเงินเฟ้อรุนแรง กดดันทั่วโลกเทขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐสหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น บอนด์ยีลด์สหรัฐพุ่ง 4.7% ในรอบเกือบ 2 ปี คาดทะลุ 5% หวั่นฉุดตลาดหุ้นร่วง ซ้ำรอยอดีต
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่าตลาดการเงินโลกกำลังเผชิญกับความผันผวนอย่างรุนแรง หลังจากเกิดปรากฏการณ์การเทขายพันธบัตรรัฐบาลอย่างหนัก ท่ามกลางปัญหาเงินเฟ้อที่รุนแรง การเมืองที่ไม่แน่นอน และภาระหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ (Bond Yield) เข้าใกล้ระดับที่สร้างผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก
- สหรัฐ
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี พุ่งสูงขึ้นทะลุ 4.7% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 พร้อมกับ “สกุลเงินดอลลาร์” แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- สหราชอาณาจักร
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของอังกฤษสูงสุดก็พุ่งสูงถึง 4.82% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 17 ปีนับตั้งแต่ปี 2008
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษอายุ 30 ปี พุ่งสู่ 5.3% เป็นระดับสูงสุดครั้งใหม่ในรอบ 26 ปี
- ญี่ปุ่น
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีของญี่ปุ่น พุ่งสูงขึ้นเกิน 1% สู่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 10 ปี
สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในตลาดพันธบัตรทั่วโลก ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐ และปัญหาเงินเฟ้อที่ยังคงมีอยู่ ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงต่อไป
‘เฟด-ทรัมป์’ 2 ปัจจัยหลักกระทบบอนด์ยีล
รอยเตอร์รายงานว่าแม้จะไม่มีปัจจัยที่แน่ชัดในการกระตุ้นการเทขายอย่างหนัก แต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากรายงานผลการประชุมครั้งล่าสุดของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 17-18 ธ.ค.ที่ผ่านมา ระบุว่าเจ้าหน้าที่เฟด มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% อยู่ที่ระดับ 4.25% - 4.5% รวมถึงปรับลดความคาดหวังต่อการลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต และแสดงความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ
เจมส์ เอเธย์ ผู้จัดการกองทุนจาก Marlborough Investment Management ชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อตลาดสหรัฐในขณะนี้ ได้แก่ ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น การเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และความไม่แน่นอนทางการเมืองภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ และความกังวลเกี่ยวกับหนีรัฐบาลที่เพิ่มสูงขึ้น
ความกังวลเกี่ยวกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่อาจสูงขึ้นกำลังทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยบริษัทผู้จัดการกองทุนชั้นนำหลายแห่ง เช่น Amundi SA, Citi Wealth และ ING ต่างออกมาเตือนถึงความเสี่ยงนี้ ตลาดออปชันคาดการณ์ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีอาจทะลุ 5% ซึ่งเป็นระดับที่สำคัญ และพันธบัตรอายุ 20 ปีก็ได้แตะระดับนี้ไปแล้วในวันพุธที่ผ่านมา
หวั่นฉุดตลาดหุ้น
การที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อตลาดหุ้นได้ เนื่องจากจะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของทั้งภาคธุรกิจและครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อการลงทุนและการบริโภค นอกจากนี้ ผลตอบแทนที่น่าสนใจจากพันธบัตรรัฐบาลยังดึงดูดให้นักลงทุนหันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยลง ทำให้เงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นและส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น
บลูมเบิร์กรายงานว่าตลาดหุ้นยังมีโอกาสที่จะร่วงลงต่อไปอีก เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรเข้าใกล้ระดับที่สร้างผลกระทบต่อหุ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
หากย้อนไปในปี 2565 และ 2566 ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลง ส่วนหนึ่งเกิดจากแรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่พุ่งสูงขึ้น และในครั้งนี้ แม้ว่าตลาดหุ้นจะพยายามฟื้นตัว แต่ก็ยังคงมีความเปราะบางและอาจได้รับผลกระทบจากการปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนอีกครั้ง
นักวิเคราะห์โกลด์แมน แซคส์ นำโดยคริสเตียน มุลเลอร์-กลิสส์มันน์ ได้ระบุว่าความสัมพันธ์ระหว่างผลตอบแทนของหุ้นและพันธบัตรได้กลับมาเป็นลบอีกครั้ง พร้อมเน้นย้ำว่าหากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรยังคงปรับตัวสูงขึ้นโดยไม่มีข้อมูลทางเศรษฐกิจที่ดีรองรับ ก็จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น
"เนื่องจากตลาดหุ้นค่อนข้างมีความยืดหยุ่นในช่วงที่มีการเทขายพันธบัตร จึงคาดว่าความเสี่ยงที่จะเกิดการปรับฐานในระยะสั้นมีเพิ่มสูงขึ้น หากมีข่าวด้านลบเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ"
อ้างอิง Bloomberg 1 bloomberg 2 reuters theguardian