อีลอน มัสก์ สนใจซื้อลิเวอร์พูลจริงไหม? และทำไมนักลงทุนชอบทีมพรีเมียร์ลีก

อีลอน มัสก์ สนใจซื้อลิเวอร์พูลจริงไหม? และทำไมนักลงทุนชอบทีมพรีเมียร์ลีก

ไม่ว่าจะขยับตัวไปทางไหนหรือพูดอะไรออกมาแค่นิดเดียว มหาเศรษฐี อีลอน มัสก์ สนใจซื้อลิเวอร์พูล(หงส์แดง) จริงไหม? และทำไม นักลงทุนถึงชอบทีมพรีเมียร์ลีก

KEY

POINTS

Key points

  • คนที่ให้สัมภาษณ์ในรายการนั้นจริงๆแล้วคือ เออร์รอล มัสก์ ผู้เป็นพ่อของอีลอน มัสก์อีกที โดยในรายการนั้นเขาได้ถูกถามคำถามแบบ “ชงหวาน” ว่าลูกชายของเขาจับตามองสถานการณ์ที่แอนฟิลด์หรือไม่ ซึ่งคำตอบที่ได้นั้นเองที่เป็นที่มาที่ไปของเรื่องราว
  • ในอดีตมัสก์คนลูกยังเคยตกเป็นข่าวเชื่อมโยงกับการเทคโอเวอร์ทีมคู่ปรับตลอดกาลอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดมาก่อนแล้วด้วย โดยย้อนกลับไปในปี 2022 อีลอนเคยทวีตต่อท้าย Thread หนึ่งเอาไว้ว่า “อ้อ ผมกำลังจะซื้อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดด้วย”
  • ทรัพย์สินของอีลอน มัสก์ราว 4.18 แสนล้านดอลลาร์ หรือกว่า 14 ล้านล้านบาท ซึ่งมูลค่าของลิเวอร์พูลนั้นคิดเป็นเพียงแค่ 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น การจะลงทุนซื้อจริงไม่ใช่เรื่องที่เกินความสามารถอย่างแน่นอน
  • FSG ซึ่งนำโดย จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี ซึ่งถือหุ้น 40 เปอร์เซ็นต์ในกลุ่มที่ครอบครองทีมกีฬาระดับชั้นนำหลายทีมนอกจากลิเวอร์พูลแล้วยังมี บอสตัน เรด ซอกซ์, พิตส์เบิร์ก เพนกวินส์ (ฮอคกี้น้ำแข็ง) และทีมรถแข่ง NASCAR อย่าง อาร์เอฟเค เรซิง ไม่ได้มีแผนที่จะขายหุ้นหรือกิจการออกไปในเวลานี้แต่อย่างใด
  • ปัจจุบันใน 20 สโมสรพรีเมียร์ลีกมีกลุ่มทุนเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มทุนจากสหรัฐอเมริกาที่ครอบครองถึงครึ่งหนึ่งหรือ 10 สโมสร

          คนอย่างอีลอน มัสก์ ไม่ว่าจะขยับตัวไปทางไหนหรือพูดอะไรออกมาแค่นิดเดียว โลกก็พร้อมเงี่ยหูฟังและขานรับจับกระแสทันที

         ล่าสุด มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้ง Tesla, SpaceX และเป็นเจ้าของ X (Twitter) ตกเป็นข่าวสะเทือนวงการกีฬาอีกครั้งเมื่อมีข่าวว่ากำลังให้ความสนใจที่จะซื้อสโมสรฟุตบอลเป็นของตัวเอง โดยที่สโมสรฟุตบอลนั้นไม่ใช่สโมสรธรรมดาแต่เป็นทีมระดับยักษ์ใหญ่อย่าง “หงส์แดงลิเวอร์พูล เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นที่น่าจับตามองมากทีเดียว

          ว่าแต่ตกลงมัสก์อยากได้ลิเวอร์พูลจริงๆหรือเปล่า? มัสก์พูดจริงแต่เป็นคนพ่อไม่ใช่ลูก

          กระแสข่าวทั้งหมดนั้นมีที่มาที่ไปจากรายการสัมภาษณ์ทาง Times Radio ซึ่งเป็นสถานีวิทยุของหนังสือพิมพ์ The Times of London โดยคนที่ไปออกรายการนั้นคือมัสก์จริงๆ แต่เป็นคนละมัสก์!

          เพราะคนที่ให้สัมภาษณ์ในรายการนั้นจริงๆแล้วคือ เออร์รอล มัสก์ ผู้เป็นพ่อของอีลอน มัสก์ อีกที โดยในรายการนั้นเขาได้ถูกถามคำถามแบบ “ชงหวาน” ว่าลูกชายของเขาจับตามองสถานการณ์ที่แอนฟิลด์หรือไม่ ซึ่งคำตอบที่ได้นั้นเองที่เป็นที่มาที่ไปของเรื่องราว

          “ผมไม่สามารถให้ความเห็นได้ เดี๋ยวพวกเขาขึ้นราคา” เออร์รอล ตอบแบบทีเล่นทีจริง

          ก่อนจะโดนขยี้ซ้ำอีกว่ามีโอกาสที่อีลอนจะซื้อลิเวอร์พูลไหม? ซึ่งให้คำตอบว่า “แน่นอนมีโอกาส แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะซื้อมันจริงๆ ถ้ามันมีโอกาสก็เป็นไปได้ ใครบ้างที่จะไม่อยาก ผมเองยังอยากซื้อเลย”

         โดยที่เออร์รอล ยังได้เล่าต่อด้วยว่าครอบครัวของเขามีพื้นเพที่เชื่อมโยงกับเมืองลิเวอร์พูลเพราะคุณแม่ของเออร์รอล หรือคุณย่าของอีลอนนั้นเกิดที่เมืองลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นเมืองท่าใหญ่ในอดีตและปัจจุบันยังคงมีญาติอยู่ในเมืองลิเวอร์พูลด้วย

          “คุณย่าของเขาเกิดที่เมืองลิเวอร์พูลและเราก็มีญาติๆอยู่ที่ลิเวอร์พูล เรายังโชคดีที่ได้รู้จักกับ The Beatles ด้วยเพราะพวกเขาโตมากับครอบครัวของเรา” เออร์รอล บอก “ดังนั้นเรามีความเชื่อมโยงกับลิเวอร์พูลแน่นอน”

อีลอน มัสก์เป็น The Kop?

ถึงเออร์รอล จะบอกแบบนั้นว่าครอบครัวตระกูลมัสก์จะมีความผูกพันกับเมืองลิเวอร์พูล แต่คำถามคือแล้วคนอย่างอีลอน มัสก์เป็นแฟนเดอะ ค็อป (สมญาของแฟนลิเวอร์พูล) กับเขาด้วยไหม?

          คำตอบคือไม่รู้ (อ้าว) เพราะไม่เคยมีข่าวว่าหนึ่งในคนที่รวยที่สุดในโลกติดตามเชียร์ลิเวอร์พูลหรือแม้แต่เชียร์กีฬาอะไรมาก่อน

         ยิ่งไปกว่านั้นคือในอดีตมัสก์คนลูกยังเคยตกเป็นข่าวเชื่อมโยงกับการเทคโอเวอร์ทีมคู่ปรับตลอดกาลอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดมาก่อนแล้วด้วย

          ย้อนกลับไปในปี 2022 ช่วงก่อนที่เขาจะเข้าซื้อกิจการ Twitter (ก่อนจะเปลี่ยนเป็น X ในเวลาต่อมา) อีลอนเคยทวีตต่อท้าย Thread หนึ่งเอาไว้ว่า “อ้อ ผมกำลังจะซื้อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดด้วย”

          ครั้งนั้นก็ไม่ต่างจากครั้งนี้เพราะคนจับเอาคำพูดไปตีความวิเคราะห์กันใหญ่โต เนื่องจากขณะนั้นครอบครัวเกลเซอร์ในฐานะเจ้าของแมนฯ ยูไนเต็ด กำลังพิจารณาที่จะขายหุ้นของสโมสรออกไปหลังครอบครอบมายาวนานตั้งแต่ปี 2005 ซึ่งการที่จู่ๆหนึ่งในนักธุรกิจผู้เป็นแรงบันดาลใจของมนุษยชาติบอกว่าจะซื้อสโมสรฟุตบอลก็ทำให้แฟนปีศาจแดงได้ตื่นเต้นกันยกใหญ่

          ก่อนที่มัสก์จะต้องรีบออกมาแก้ตัวว่ามันเป็นเพียงแค่การพูดขำๆเท่านั้น เขาไม่ได้มีแผนที่จะซื้อทีมกีฬาแต่อย่างใด

ไม่มีอะไรที่มัสก์ซื้อไม่ได้ แต่...

          สิ่งที่หลายคนอยากรู้ต่อคือถ้าสมมติ อีลอน มัสก์ เกิดให้ความสนใจในทีมลิเวอร์พูลจริง มีโอกาสที่จะซื้อมาเป็นสมบัติของตัวเองได้ไหม?

          เรื่องนี้ คาเวห์ โซเลคอล หัวหน้ากองข่าว Sky Sports วิเคราะห์เอาไว้ว่าถ้ามหาเศรษฐีอย่างอีลอน มัสก์อยากได้จริงก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้

          “ถ้าเขาอยากซื้อลิเวอร์พูล ก็ไม่มีอะไรจะหยุดเขาได้นอกจากแฟนลิเวอร์พูลเท่านั้น”

          ทั้งนี้แม้ว่ามูลค่าของสโมสรลิเวอร์พูลจะสูงกว่าเมื่อครั้งที่ FSG เทคโอเวอร์มาในปี 2010 ด้วยราคา 300 ล้านปอนด์มาก โดยตามการจัดอันดับของ Forbes ลิเวอร์พูลมีมูลค่าในปัจจุบันอยู่ที่ 4.3 พันล้านปอนด์ เป็นทีมฟุตบอลที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับที่ 4 ของโลก

แต่ทรัพย์สินของอีลอน มัสก์มีสูงกว่านั้นมากโดยปัจจุบันเชื่อว่ามัสก์มีทรัพย์สินที่ราว 4.18 แสนล้านดอลลาร์ หรือกว่า 14 ล้านล้านบาท ซึ่งมูลค่าของลิเวอร์พูลนั้นคิดเป็นเพียงแค่ 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น การจะลงทุนซื้อจริงไม่ใช่เรื่องที่เกินความสามารถอย่างแน่นอน

          อย่างไรก็ดีการจะซื้อสโมสรฟุตบอลนั้นมีเงินอย่างเดียวไม่ได้ ต้องผ่านการทดสอบทางด้านจริยธรรมอีกหลายอย่างจากทางพรีเมียร์ลีกด้วย

          และต่อให้ผ่านในเรื่องนี้ได้ มัสก์จะต้องเจอศึกหนักอย่างแน่นอนในการต่อต้านจากแฟนบอลเดอะ ค็อปท้องถิ่นซึ่งเป็นแฟนฟุตบอลที่ผูกพันกับรากเหง้าและประวัติศาสตร์ยาวนานของทั้งสโมสรและเมือง ซึ่งสวนทางกับแนวคิดและค่านิยมของคนที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งในชีวิตอย่างมัสก์ ชนิดที่แค่มีข่าวแฟนก็พร้อมลุกฮือแล้ว

เจ้าของหงส์แดงตัวจริงยังนิ่ง

          ขณะที่ทางด้านกลุ่ม Fenway Sports Group (FSG) เจ้าของสโมสรลิเวอร์พูลตัวจริงซึ่งซื้อกิจการมาด้วยราคา 300 ล้านปอนด์ (1.2 หมื่นล้านบาท) ในปี 2010 ไม่ได้ออกแถลงการณ์ใดๆในเรื่องนี้

          แต่มีรายงานข่าวออกมาว่า FSG ไม่มีแผนที่จะขายหุ้นของลิเวอร์พูลในเวลานี้แต่อย่างใด รวมถึงไม่มีกาติดต่อใดๆมาจากฝ่ายของอีลอน มัสก์ ตามที่มีกระแสข่าวด้วย

          2 ปีครึ่งก่อนหน้านี้ FSG เคยตกเป็นข่าวที่จะขายสโมสรเพียงแต่ได้เปลี่ยนใจเป็นการเปิดรับนักลงทุนกลุ่มใหม่ๆเข้ามาแทนซึ่งก็มีการเสริมทุนขายหุ้นของ FSG ออกไปบางส่วนได้แก่

• Red Bird Capital Partners ซึ่งเข้ามาซื้อหุ้นสโมสรไป 11 เปอร์เซ็นต์ เมื่อปี 2021 ด้วยมูลค่า 533 ล้านปอนด์

• Dynasty Equity ขายหุ้นย่อยราว 100-200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2023

          อย่างไรก็ดีทางด้าน FSG ซึ่งนำโดย จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี ซึ่งถือหุ้น 40 เปอร์เซ็นต์ในกลุ่มที่ครอบครองทีมกีฬาระดับชั้นนำหลายทีมนอกจากลิเวอร์พูลแล้วยังมี บอสตัน เรด ซอกซ์, พิตส์เบิร์ก เพนกวินส์ (ฮอคกี้น้ำแข็ง) และทีมรถแข่ง NASCAR อย่าง อาร์เอฟเค เรซิง ไม่ได้มีแผนที่จะขายหุ้นหรือกิจการออกไปในเวลานี้แต่อย่างใด

          ถึงแม้ว่าจะเคยพูดถึงเรื่องการขายหุ้นลิเวอร์พูลเมื่อปีกลาย เฮนรีให้คำตอบว่า “ถามว่าเราจะอยู่ในอังกฤษตลอดไปหรือเปล่า? ก็คงไม่ แต่ถามว่าเราจะขายลิเวอร์พูลไหม? ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาเราเคยขายอะไรบ้าง?” แปลว่าอย่างน้อยก็คงไม่ใช่เร็วๆนี้แน่

ทีมพรีเมียร์ลีกขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า

          ท่าทีของ FSG ที่ยังคงหวงแหนลิเวอร์พูล หรือแม้แต่ครอบครัวเกลเซอร์ที่ยอมปล่อยหุ้นบางส่วนราว 29 เปอร์เซ็นต์ให้แก่ เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ มหาเศรษฐีชาวอังกฤษโดยไม่ยอมขายหุ้นออกไปทั้งหมดนั้นเป็นเพราะทีมฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเวลานี้มีค่าดังขุมทรัพย์สุดขอบฟ้าที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ไม่มีวันหยุด

          ปัจจุบันใน 20 สโมสรพรีเมียร์ลีกมีกลุ่มทุนเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มทุนจากสหรัฐอเมริกาที่ครอบครองถึงครึ่งหนึ่งหรือ 10 สโมสร ได้แก่

  •           แมนฯ ยูไนเต็ด (ครอบครัว เกลเซอร์)
  •           อาร์เซนอล (สแตน ครองเก)
  •           แอสตัน วิลลา (V Sports)
  •           เชลซี (Clearlake Capital)
  •           ฟูแลม (ชาฮิด คาน)
  •           บอร์นมัธ (บิล โฟลีย์)
  •           คริสตัล พาเลซ (จอห์น เท็กซ์เตอร์)
  •           อิปสวิช ทาวน์ (Gamechanger 20)
  •           ลิเวอร์พูล (FSG)
  •           และสโมสรล่าสุดคือเอฟเวอร์ตัน (ครอบครัวฟรีดกิน)

          นอกจากนี้ยังมีสโมสรที่มีรัฐ (State) เป็นเจ้าของอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี (อาบูดาบี), นิวคาสเซิล (PIF กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติซาอุดีอาระเบีย) อีกด้วย ในฐานะ “เครื่องมือ” ในการสร้างภาพลักษณ์และใช้อิทธิพลทางเกมกีฬาเพื่อการบางอย่าง

          ถึงแม้ว่าการบริหารกิจการสโมสรฟุตบอลพรีเมียร์ลีกจะเป็นงานที่ยากลำบากอย่างยิ่งเนื่องจากการแข่งขันสูง ปัจจัยความผันผวนมีไม่รู้จบ อีกทั้งทีมฟุตบอลเหล่านี้ไม่ได้เป็นแค่องค์กรธุรกิจ แต่เป็นส่วนหนึ่งของชุมชน (Community) เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของประเทศชาติ ที่ต้องบริหารความคาดหวังจากแฟนฟุตบอลที่เป็นหัวใจของสโมสรด้วย

          แต่ผลตอบแทนที่ได้กลับมานั้นสูงมากพอที่จะดึงดูดกลุ่มทุนให้เข้ามาลงทุน ซึ่งนอกจากตัวเลขรายได้จากส่วนแบ่งลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดที่มากมายมหาศาล ยังมีโอกาสในการทำรายได้จากส่วนอื่นอีกมาก และที่สำคัญที่สุดคือมูลค่าของสโมสรฟุตบอลนั้นเพิ่มขึ้นตลอดเวลา

          ยกตัวอย่างเช่น ลิเวอร์พูลที่มูลค่าเพิ่มจาก 300 ล้านปอนด์เป็น 4.3 พันล้านปอนด์ในระยะเวลาเพียงแค่ 14 ปี ซึ่งทำให้นักลงทุนพร้อมจะเข้ามาลงทุน เพราะต่อให้อาจจะต้องลงทุนมหาศาลแต่เมื่อถึงเวลาขายก็สามารถทำรายได้เพิ่มหลายเท่าเช่นกันเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม

          ดังนั้นถ้าวันนึง อีลอน มัสก์ เกิดบ้าจี้อยากได้ลิเวอร์พูลหรือทีมอื่นขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องบ้าจี้กิจกรรมยามว่างของคนมีเงิน

          แต่เป็นเพราะสโมสรฟุตบอลนั้นเป็นการลงทุนที่ดี คุ้มค่า ผลตอบแทนสูง และมี Power ที่ซ่อนเร้นหลายอย่างที่ไม่สามารถประเมินค่าเป็นเงินได้ด้วย

 

อ้างอิง:

nytimes.com/athletic/5926165/2024/11/19/premier-league-owners-american-chelsea-manchester-united/

si.com/onsi/soccer/liverpool/news/elon-must-past-interest-in-manchester-united-resurfaced-amid-recent-liverpool-fc-acquisition-reports

theguardian.com/football/2025/jan/07/elon-musk-would-be-interested-in-buying-liverpool-reveals-father

theguardian.com/football/2024/dec/19/everton-takeover-by-friedkin-group-completed-as-moshiri-era-is-ended

bbc.com/sport/articles/cj9ngxy2emyo

nytimes.com/athletic/5923137/2024/11/18/premier-league-investment-owner-ranking/

telegraph.co.uk/football/2025/01/08/elon-musk-terrifying-liverpool-vision-buy-takeover/

skysports.com/football/news/11095/13285183/elon-musk-interested-in-buying-liverpool-but-club-not-for-sale-and-owners-fsg-have-received-no-offers