‘4 บิ๊กแบงก์’ เตือนทรัมป์ป่วนโลก หวั่นธุรกิจไทยปรับตัว ‘ไม่ทัน’

“4 บิ๊กแบงก์” เตือนตั้งรับความเสี่ยง “ทรัมป์” “กฤษณ์” เชื่อสร้างความไม่แน่นอน - กังวลลามวงกว้าง “ขัตติยา” ห่วงสหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าสะเทือนส่งออกไทย ท้าทายแบงก์ และลูกค้า “ชาติศิริ” เตือนความเสี่ยงสงครามการค้า ทำผันผวนขึ้น “ผยง” แนะรับมือสินค้าจีนทะลักเข้าไทย
วันที่ 20 ม.ค.2568 ถือเป็นการรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ที่ครองตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐสมัยที่ 2 โดยการมาของทรัมป์ครั้งนี้ เป็นสิ่งที่จับตารอว่า 100 วันแรก ของการนั่งในตำแหน่งของทรัมป์ จะประกาศนโยบายเร่งด่วนใดเป็นลำดับต้น
รวมทั้งการประกาศเจตนารมณ์ที่แน่วแน่ในแนวคิด “America First” อเมริกาต้องมาก่อน บวกกับนโยบายที่ทรัมป์ประกาศก่อนหน้านี้ว่าจะทำ อาจสร้างความปั่นป่วนต่อตลาดเงินตลาดทุน ต่อเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้หลังจากนี้!
นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า การมาของทรัมป์ ถือว่าเป็นประเด็นที่น่ากังวลหรือไม่ น่ากังวล ทรัมป์มาความไม่แน่นอนมากขึ้นแน่นอน และทำให้ความกังวลลามเป็นวงกว้าง ทั้งนี้เชื่อว่าการดำเนินนโยบายของทรัมป์อย่างเป็นทางการ ในมุมอุตสาหกรรมต่างๆ คงหลีกเลี่ยงผลกระทบไม่ได้ คงมีทั้งอุตสาหกรรมที่รับผลกระทบมาก และกระทบน้อย
“ทรัมป์มามีความไม่แน่นอนมากขึ้นแน่นอน แต่บางครั้งก็ต้องดูว่าสิ่งที่ทรัมป์พูด และทำ มีโอกาสเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน มุมมองของทรัมป์ไม่ได้ทำให้มุมมองความเสี่ยงเพิ่มขึ้นประจักษ์ขนาดนั้น แต่ทำให้เกิดความกังวล เพราะการพูดเร็ว พูดแรง แต่เชื่อว่าสุดท้ายด้วยตัวทรัมป์เองที่เป็นนักเจรจา อาจมีการขู่ให้ตกใจ และนำมาสู่การดึงคนมาที่โต๊ะเจรจา เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการก็อาจเป็นได้”
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของธนาคารเอง ก็ต้องมีส่วนกระตุ้นให้ลูกค้าเห็นว่าต้องปรับตัวอย่างไร ส่วนภาคการเงินหรือธนาคารในระยะสั้นๆ มองว่าอาจมีผลกระทบไม่มาก แต่ระยะกลางระยะยาว หากธุรกิจเอสเอ็มอี ธุรกิจรายใหญ่ไม่มีการปรับตัวก็อาจมีความเสี่ยงต่อพอร์ตของธนาคารได้
ห่วงธุรกิจไทยปรับตัวไม่ทัน
ทั้งนี้ ในมุมของไทยหากถามในมุมส่วนตัวก็มองว่า น่ากังวลหรือไม่ น่ากังวล เพราะยังมีโรงงานที่ปรับตัวยังไม่มากนัก ปรับตัวยังไม่เต็มที่ ดังนั้นบทบาทของไทยหลังจากนี้จำเป็นต้องหาจุดกึ่งกลางในการบริหารความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ เพื่อไม่ให้รู้สึกว่าไทยอยู่ข้างไหน ท่ามกลางสงครามการค้าสหรัฐจีนที่จะมีความรุนแรงมากขึ้นหลังจากนี้ ดังนั้นนโยบายการสื่อสารเป็นสิ่งที่สำคัญ
“ผมมองว่าบทบาทของประเทศไทยหลังจากนี้จำเป็นต้องหาจุดกึ่งกลาง ในการบริหารความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ เพื่อไม่ให้ถูกมองว่า เราอยู่ข้างไหน ซึ่งเหล่านี้ยอมรับว่า พูดง่าย แต่ทำยากมาก"
ดังนั้นต้องเป็นโจทย์รัฐบาลเพราะหากไทยไม่ทำอะไรเลย อีกฝั่งอาจมองไทยอยู่อีกพวก หรือยิ่งแย่ไปอีกหากไม่มีใครคิดว่าเราไม่ใช่พวกเขาเลย ดังนั้นนโยบายการสื่อสารเป็นสิ่งที่สำคัญ และต้องกลับมาดูว่าเราจะตอบโจทย์ประเทศเหล่านี้อย่างไร เราพร้อมสนับสนุนทุกคนตราบใดที่เป็นประโยชน์กับประเทศ
นายกฤษณ์ กล่าวว่า ภาคธนาคารมีบทบาทสำคัญ เพราะธนาคารเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ดังนั้นการช่วยให้ลูกค้าเข้าใจความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น และโอกาสที่อาจเกิดขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แบงก์ต้องมีบทบาทสำคัญช่วยลูกค้าปรับตัว และเชื่อว่าหากแบงก์ทำแล้วเกิดผลสัมฤทธิ์สำหรับลูกค้าแบงก์ ขณะที่แบงก์อื่นก็ทำแนวทางนี้เช่นกัน เหล่านี้ก็จะสอดรับกับนโยบายของประเทศ การบริหารความสัมพันธ์จะดีไปด้วย
สหรัฐขึ้นภาษีกระทบลูกค้าแบงก์
นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) กล่าวว่า ปัจจัยไม่แน่นอน และความท้าทายที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจระยะข้างหน้า มองว่าปัจจัยท้าทายจากภายนอกเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับเศรษฐกิจไทยมากกว่าปัจจัยในประเทศ โดยเฉพาะปัจจัยสงครามการค้าระหว่างจีนสหรัฐ และเกมภูมิรัฐศาสตร์ยังมีต่อเนื่อง
ที่เหล่านี้จะโยงไปถึง ภาคส่งออกของไทย ที่อาจเจอความท้าทายจากนโยบายของทรัมป์ โดยเฉพาะจากนโยบายการขึ้นกำแพงภาษีนำเข้า ที่อาจมีผลกระทบต่อภาคส่งออกของไทยได้ เพราะไทยได้ดุลการค้ากับสหรัฐจำนวนมาก ดังนั้นประเทศไทยอาจถูกเพ่งเล็งในการถูกปรับภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งเหล่านี้ถือเป็นความท้าทายของลูกค้าธนาคาร และส่งผลกระทบต่อธนาคารเช่นเดียวกัน
“ภายใต้ความท้าทายเหล่านี้ ธนาคารก็ต้องระมัดระวังมากขึ้น แต่ก็ต้องไปดูว่า ลูกค้าที่กระทบจากการขึ้นกำลังแพงภาษีครั้งนี้ เป็นสินค้าอะไร และต้องดูวิธีการอีกครั้งว่าทรัมป์จะทำอย่างไร ซึ่งที่ผ่านมาธนาคารก็มีการเตือนลูกค้าไปแล้วเพื่อรับมือกับสิ่งเหล่านี้”
เตือนรับความเสี่ยงจากทรัมป์
นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) กล่าวว่า ภายใต้สถานการณ์โลกปัจจุบันมองเป็นสิ่งท้าทายมากขึ้นสำหรับเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทย ทั้งจากการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี ปัญหาความขัดแย้งจากภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่นับวันสถานการณ์รุนแรงมากขึ้น
ทั้งนี้ ธนาคารมองว่า ทั้ง 3 ด้านเป็นความเสี่ยงที่ทั่วโลกต้องให้ความสำคัญ และต้องตระหนักถึงปัจจัยเหล่านี้มากขึ้น และไม่อยากให้สบายใจ อยากให้เตรียมตัว ระมัดระวัง ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงและปรับตัวต่อเนื่องเพื่อไม่ให้ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
โดยเฉพาะความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ทำให้เกิดความไม่มั่นคง และมีผลกระทบมากขึ้น โดยสงครามการค้าจีนสหรัฐ ปัญหารัสเซีย ยูเครน ความตึงเครียดจากตะวันออกกลางมีผลกระทบวงกว้าง
ดังนั้นต้องเตรียมรับความผันผวนที่มากขึ้น โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ในระยะข้างหน้าที่อาจส่งผลให้กีดกันทางการค้ามากขึ้น ซึ่งกระทบโดยตรงต่อประเทศอาเซียน ที่ทำให้เกิดการย้ายห่วงโซ่อุปทาน เกิดโลกาภิวัตน์ ที่จะเร่งขึ้นต่อเนื่องในช่วง 5 ปีนับจากนี้
“สงครามการค้าจีนสหรัฐ ปัญหารัสเซีย-ยูเครน ล้วนเป็นเชื้อไฟที่ทำให้เกิดผลกระทบที่กว้างขวางมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นไม่อยากให้สบายใจ ต้องระมัดระวัง และต้องตระหนักถึงความท้าทายมากขึ้น”
ความเสี่ยงทรัมป์คาดเดายาก จับตาสินค้าจีนทะลัก
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย (TBA) และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย (KTB) กล่าวยอมรับว่า ภายใต้การมาของทรัมป์ ทำให้ทั่วโลกมีความเสี่ยงสูงขึ้น และการดำเนินนโยบายของทรัมป์ คาดเดายาก ซึ่งในมุมของจีนมองว่า ได้มีการเตรียมพร้อมรับมือผลกระทบอยู่แล้ว แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้คือ อาจเห็นสินค้าจีนทะลักเข้ามาแน่นอน
โดยเฉพาะสินค้าที่มีลักษณะคล้ายกัน ดังนั้นถือเป็นความท้าทายอย่างมาก ต่อธุรกิจไทยโดยเฉพาะเอสเอ็มอี รวมไปถึงธุรกิจขนาดใหญ่ที่ต้องเร่งปรับตัวรับกับความเปลี่ยนแปลงจากนโยบายทรัมป์
ในมุมของธนาคาร ที่ผ่านมาสื่อสารกับลูกค้า ผู้ประกอบการของธนาคารต่อเนื่องถึงการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น ดังนั้นสิ่งจำเป็นคือ การทำตัวเองให้ยืดหยุ่นรับกับการปรับเปลี่ยนปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดให้ได้ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่านโยบายทรัมป์จะมีทั้งกลุ่มที่ปรับตัวไม่ทัน และได้รับผลกระทบแน่นอน โดยเฉพาะ อุตสาหกรรมการผลิต ที่อาจถูกกระทบจากการมาของสินค้าจีนค่อนข้างมาก
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์