‘สาระ’ เปิดแผน ‘เมืองไทยประกันชีวิต’ มุ่งพัฒนา ‘โปรดักต์ - เซอร์วิส - เอไอ’

‘สาระ’ เปิดแผน ‘เมืองไทยประกันชีวิต’ มุ่งพัฒนา ‘โปรดักต์ - เซอร์วิส - เอไอ’

‘สาระ’ เปิดแผน ‘เมืองไทยประกันชีวิต’ มุ่งยกระดับพัฒนา ‘โปรดักต์ - เซอร์วิส - ใช้เอไอ’ ทุกมิติ แจง Copayment มีผลบังคับใช้เฉพาะลูกค้าใหม่ ยันลูกค้าเก่าไม่มีผล

21 ปีของการ “รีแบรนดิ้ง” องค์กร ภายใต้แบรนด์แห่ง “ความสุข” เพราะความสุขคือ ทุกอย่าง และวันนี้แบรนด์องค์กรนี้ก็ยังเป็นสิ่งที่ “เมืองไทยประกันชีวิต” ยึดถือมาตลอด

นี่คือ คำกล่าวของ “สาระ ล่ำซำ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL ที่ตอกย้ำในการเป็นแบรนด์ ที่ทำให้เกิด “ความสุข” เพราะเขาเชื่อว่า ความสุข คือ ทุกอย่าง

ดังนั้นการตั้งโจทย์ขององค์กรต่อไปในระยะข้างหน้าคือ การทำให้ “เรา” เมืองไทยประกันชีวิต เป็นชิ้นส่วนเล็กๆ ที่จะ “เติมเต็ม” เติมเต็มชีวิต และเติมเต็มความสุขให้เกิดขึ้นต่อไปได้

“สาระ” ฉายภาพต่อไปว่า สำหรับปี 2568 กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจขององค์กร ยังคงตอกย้ำตัวตนในการเป็นแบรนด์แห่งความสุข และรอยยิ้มที่ยั่งยืนต่อเนื่อง

โดยปีนี้ สิ่งที่เราจะทำต่อเนื่องคือ การยกระดับการส่งมอบความสุขผ่านกลยุทธ์ Boost Your Happiness by Our People บูสต์ความสุขของคุณด้วยคนของเมืองไทยประกันชีวิต คือ สิ่งที่เราอยากเติมเต็มให้มากขึ้น

สิ่งที่ย้อนกลับมาดู ไม่เฉพาะข้อที่ดี ที่เป็นกำลังใจให้เรา แต่สิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญคือ เราก็ต้องเป็นองค์กรที่ต้องดูด้านผิดพลาดเช่นเดียวกัน ที่ผ่านมาเราผิดพลาดตรงไหน และต้องแก้อะไร เพื่อให้เราดีขึ้น

ดังนั้น ภายใต้การเป็นฟันเฟืองตัวเล็กๆ ในการเติมเต็มความสุขให้กับลูกค้า ให้กับองค์กร โดยมุ่งเน้นการเดินหน้าพัฒนาองค์กรในทุกภาคส่วน ทั้งการส่งมอบความสุขให้กับลูกค้าทุกคนด้วยความเป็นมืออาชีพ ต้องมีองค์ความรู้ เป็นมืออาชีพ เพราะการขายประกันไม่ใช่ขายแล้วจบ

 ถัดมา สิ่งที่องค์กรให้ความสำคัญคือ ความโปร่งใส ความสะดวกสบาย ความไว้วางใจ เพราะเรื่องของ “ทรัส” ความเชื่อมั่นเป็นหัวใจสำคัญ ที่จะเป็นตัวที่ทำให้องค์กรได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าในระยะยาว

ในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ก็เป็นสิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ทุกช่วงชีวิต เพื่อสร้างประสบการณ์แบบไร้รอยต่อ

ดังนั้น สิ่งที่บริษัทพยายามทำคือ ทำให้มากกว่าโปรดักต์เดิมๆ พยายามทำให้โปรดักต์สามารถเข้าถึงคนได้มากขึ้น เพราะเป้าหมายของเราคือ การส่งมอบความสุขให้กับลูกค้าคนสำคัญ

“วันนี้จะบูสต์ความสุขให้กับลูกค้าได้ Inside out สำคัญมาก ไม่ว่าพนักงาน ผู้บริหาร ตัวแทน หรือคู่ค้าของเรา และตอบโจทย์ลูกค้าเรา เพื่อเติมเต็มความสุข เพราะเราเชื่อว่า ความหลากหลายเป็นสิ่งสำคัญ เพราะโลกเปลี่ยนไป ดังนั้น เราต้องเข้าใจในความหลากหลายมากขึ้น เพราะการทำโปรดักต์ต่างๆ หากเราไม่เข้าใจ เราจะไม่มีวันเข้าถึงเขาได้ ดังนั้น เมืองไทยประกันชีวิตเราต้องเปิดโอกาส โอเพนในการคิดโปรดักต์ต่างๆ เพื่อให้เราเข้าใจคนที่หลากหลายมากขึ้น ดังนั้น หลังจากนี้จะพัฒนาทั้งโปรดักต์ และเซอร์วิส และใช้เทคโนโลยีเข้ามาให้บริการลูกค้าเรามากขึ้น”

 “สาระ” กล่าวว่า ธุรกิจประกันชีวิต เป็นธุรกิจที่ให้ความคุ้มครองแก่ลูกค้าในระยะยาว ดังนั้น เมืองไทยประกันชีวิตจึงให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในทุกก้าว ภายใต้การกำกับดูแลกิจการ และการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม บนการคำนึงถึงการสร้างสมดุลทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม มิติสังคม และมิติบรรษัทภิบาล (ESG) โดยเฉพาะในส่วนของมิติสังคม ที่บริษัทยังคงเดินหน้าในการพัฒนาแบบประกันภัยที่ช่วยตอบโจทย์การเข้าถึงได้ของประกันชีวิตให้กับทุกคน 

“ในปีนี้เราตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นปีที่ สีบานเย็นจะบานสะพรั่งทั่วประเทศ โดยเมืองไทยประกันชีวิตจะยกระดับความสุขให้กับทุกคน ทั้งลูกค้า พาร์ตเนอร์ พนักงาน และฝ่ายขายของเรา และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ผ่านผลิตภัณฑ์ บริการ และช่องทางการขายต่าง ๆ สีบานเย็นจะรวมพลังกันอย่างแข็งแกร่ง เพื่อส่งมอบความสุข และรอยยิ้มให้ลูกค้าคนสำคัญของเราทุกคน

ในด้านการดำเนินธุรกิจ เขา มองว่า วันนี้ธุรกิจประกันอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะบนมาตรฐานบัญชีใหม่ TFRS17 ที่เริ่มมีผลบังคับใช้แล้วเมื่อต้นปีที่ผ่านมา และบนโลกใหม่ ภายใต้มาตรฐานใหม่ ทั้งหมดต้องเอามาหักลบกันเลย ไม่ได้มองบวกไปตลอดอายุสัญญาเหมือนในอดีต

ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นบริษัทมีการเตรียมพร้อม และปรับพอร์ตธุรกิจมาต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เพื่อรองรับมาตรฐานบัญชีใหม่ TFRS17

โดยการลดสัดส่วนประกันสะสมทรัพย์ มาเพิ่มผลิตภัณฑ์ที่เน้นความคุ้มครองมากขึ้น แม้วันนี้พอร์ตใหญ่ของบริษัทยังคงเป็นสะสมทรัพย์เป็นหลักก็ตาม แต่เริ่มเห็นพอร์ตจากประกันสุขภาพ ประกันโรคร้ายต่างๆ ใหญ่ขึ้น จนมาเป็นอันดับสองในปัจจุบัน

ขณะที่ ในส่วนการเริ่มบังคับใช้เกณฑ์ประกันสุขภาพแบบให้ลูกค้ามีส่วนร่วมจ่าย (Copayment) เมืองไทยประกันชีวิตจะมีการเริ่มบังคับใช้เกณฑ์ดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 20 มี.ค.2568 เป็นต้นไป โดยย้ำว่าภายใต้เกณฑ์นี้ จะมีผลเฉพาะกรมธรรม์ที่ออกขายใหม่สำหรับลูกค้าใหม่เท่านั้น ส่วนการต่ออายุสัญญากรมธรรม์เดิมจะไม่มีผล

กรณีที่ 1 Co-Payment ปีต่อ  ที่เอามาใช้กับ Simple disease หรือการเจ็บป่วยเล็กน้อยคือ ถ้าป่วยด้วยหรือการเจ็บป่วยเล็กน้อย แล้วมีการป่วยต้องเข้านอนพักรักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน ตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป มีอัตราความเสียหายมากกว่า 200% ในปีนั้นๆ บริษัทประกันสามารถพิจารณาใส่ Co-Payment เข้าไปได้ไม่เกิน 30% ทุกค่ารักษาในปีถัดไป

กรณีที่ 2 ถ้า นอน รพ. ด้วยโรคทั่วไป ที่ไม่ใช่โรคเจ็บป่วยเล็กน้อย  ถ้าเกิดความเสียหายหรืออัตราการเคลมสูงกว่า 400% และเคลมตั้งแต่   3 ครั้งขึ้นไป ในปีนั้น

โดยไม่รวมโรคร้ายแรง และการผ่าตัดใหญ่ แบบนี้บริษัทประกันก็สามารถพิจารณาใส่ Copayment  เข้าไปได้ไม่เกิน 30% ทุกค่ารักษาในปีถัดไปเช่นกัน

ทั้งนี้ สุดท้ายหากผู้ที่เข้าข่ายต้องร่วมจ่าย Copayment แต่หากมีการเคลมลดลง ที่อาจนำไปสู่การพิจารณายกเลิก “การร่วมจ่าย” ของบริษัทรับประกันได้เช่นเดียวกัน

ภายใต้พอร์ตของเมืองไทยประกันชีวิต ปัจจุบันมีลูกค้ากว่า 3.8 ล้านคน เบี้ยประกันรับรวม 71,800 ล้านบาท เติบโตขึ้น 1.7% และมีเบี้ยรับรายใหม่เติบโต 13% ประกันสุขภาพ โดยเฉพาะโรคร้ายแรงเติบโตกว่า 24%

ในด้านคะแนน NPS (Net Promoter Score) ปัจจุบันสูงขึ้นจาก 58 คะแนน มาเป็น 75% หรือหากพูดถึง ความยั่งยืนขององค์กรปัจจุบัน ถือว่ามีความมั่นคงอย่างมาก โดยเฉพาะหากดูด้านความเพียงพอของเงินกองทุน ที่ปัจจุบันมีมากกว่า 350% สูงกว่าเกณฑ์กำหนดมาก ที่กำหนดไว้เพียง 140%

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์