ไทยหลุดกลุ่มเสี่ยงรับผลโลกเดือด ถึงเวลาฉลอง?

ขณะนี้ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งได้ผนวกแนวทางการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงมิติด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเข้าไปในทุกองคาพยพเพื่อออกผลิตภัณฑ์หรือการบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ความต้องการของภาคธุรกิจที่ต้องการเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืน
สวัสดีครับ
อย่างที่เราทราบกันประเทศไทยเคยได้รับการจัดให้อยู่ในกลุ่มของประเทศ “กลุ่มเสี่ยงสูง” ต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จากทั้งอุทกภัยร้ายแรงหรืออุณหภูมิที่สูงขึ้น แต่จากการจัดอันดับล่าสุดใน Climate Risk Index 2025 หรือดัชนีความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศโดย Germanwatch พบว่าประเทศไทยได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่ 30 ปรับตัวดีขึ้นจากเดิมหลังจากเคยอยู่ถึงอันดับ 9 โดยปัจจัยที่ทำให้อันดับของเราดีขึ้นมาคือการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น การปรับปรุงวิธีการประเมินดัชนีความเสี่ยง รวมถึงการปรับเปลี่ยนช่วงระยะเวลาที่ใช้ประเมินความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศระยะยาว จากเดิม 20 ปี เป็น 30 ปีครับ
ถึงกระนั้น ข้อมูลนี้ได้แสดงตัวเลขในภาพรวมที่ยังคงน่ากังวล ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 ถึง พ.ศ. 2565 โลกเรามีภัยจากสาเหตุของสภาพอากาศสุดขั้วกว่า 9,400 ครั้ง โดยได้คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกไปมากกว่า 765,000 คน ยังไม่นับมูลค่าการสูญเสียทางเศรษฐกิจที่ไม่สามารถประเมินค่าได้ ในแง่ตัวชี้วัด การประเมินจะใช้การวิเคราะห์ทั้งจำนวนผู้เสียชีวิต ประชากรที่ได้รับผลกระทบ และความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว เช่น พายุ น้ำท่วม คลื่นความร้อน ภัยแล้ง ไฟป่า อิงจากฐานข้อมูลเหตุการณ์ภัยพิบัติระดับสากล (EM-DAT) ธนาคารโลก (World Bank) รวมถึงข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)
ในมิติด้านการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การจัดอันดับที่ดีขึ้นถือเป็นข่าวดีครับ เนื่องจากได้ส่งสัญญาณเชิงบวกต่อการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงความพร้อมในการรับมือกับความท้าทาย และยังสะท้อนให้เห็นทั้งการขับเคลื่อนเชิงนโยบายเชิงรุกของรัฐบาล การบูรณาการความร่วมมือของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ และเอกชน รวมถึงภาคการเงิน ทว่าในความเป็นจริง เราไม่สามารถนิ่งนอนใจได้เลยเนื่องจากภัยธรรมชาตินับวันมีแต่จะรุนแรงและคาดเดาได้ยากยิ่ง
เหตุผลที่เราดีใจได้ไม่เต็มที่ นั่นเป็นเพราะว่าข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศของไทยบ่งชี้ว่าในปี พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมาอุณหภูมิของประเทศไทยสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วไปของประเทศ โดยอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีอยู่ที่ 28.5 องศาเซลเซียส สูงกว่าค่ามาตรฐานในช่วง 30 ปี (พ.ศ. 2534 - พ.ศ. 2563) ถึง 1.1 องศาเซลเซียส และตัวเลขนี้นับว่าสูงที่สุดในรอบ 74 ปี (พ.ศ. 2494 - พ.ศ. 2567) และเพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2566 ที่มีค่าเฉลี่ย 28.1 องศาเซลเซียส ที่สำคัญในปีที่แล้วยังเป็นปีที่ประเทศไทยมีอุณหภูมิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในระดับที่เราทุกคนรู้สึกได้ พื้นที่ส่วนใหญ่ต้องเผชิญกับสภาพอากาศร้อนอบอ้าวตลอดฤดูร้อน โดยเฉพาะช่วงเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคม เรียกได้ว่ามีแต่วันที่ “ร้อนมาก” ไปจนถึงวัน “ร้อนสุดๆ” เลยทีเดียวครับ ความร้อนระอุนี้ยังส่งผลกระทบไปยังแทบจะทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมจากผลผลิตลดลง ภาคพลังงานจากความต้องการไฟฟ้าสูงขึ้น รวมถึงภาคสาธารณสุขจากค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้นจากโรคภัยต่างๆ อันเกี่ยวเนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่ปกติ
ที่สำคัญมีข้อมูลที่น่ากังวลว่าบริษัทจำนวนไม่น้อยมีที่ตั้งของอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อน้ำท่วมและภัยแล้ง ภัยทั้งสองเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนและเศรษฐกิจทั้งภาคการผลิตและการบริการของประเทศเป็นอย่างมากครับ ดังนั้น ภาคธุรกิจควรเตรียมพร้อมรับมือความเสี่ยงที่กำลังจะมาถึง ซึ่งหมายถึงทั้งการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคการผลิตและการขนส่ง รวมถึงช่วยกันหาแนวทางสนับสนุนให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) เข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อให้สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมและกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างราบรื่น ตลอดจนวางแนวทางรับมือความเสี่ยงด้านกายภาพจากทั้งปัญหาคลื่นความร้อนและน้ำท่วมที่เกิดขึ้นอย่างเรื้อรัง
แน่นอนว่าปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต้องอาศัยเงินทุน ภาคการเงินจึงมีบทบาทในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน ผ่านการใช้เครื่องมือทางการเงินที่ช่วยสนับสนุนธุรกิจรับมือกับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาทิ สินเชื่อเพื่อการเปลี่ยนผ่านหรือตราสารหนี้สีเขียวที่สนับสนุนโครงการพลังงานหมุนเวียนและธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ยิ่งไปกว่านั้น ในขณะนี้ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งได้ผนวกแนวทางการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงมิติด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเข้าไปในทุกองคาพยพเพื่อออกผลิตภัณฑ์หรือการบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ความต้องการของภาคธุรกิจที่ต้องการเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืนครับ
แม้การลดลงของอันดับความเสี่ยงต่อสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยจะยังไม่ใช่เหตุให้เราควรโล่งอก แต่ก็ถือเป็นสัญญาณที่ดีว่าเรามีความมุ่งมั่นในการเดินหน้าสู่ความยั่งยืน รวมถึงมีศักยภาพในการสร้างการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แม้ปัญหาเชิงโครงสร้างยังคงมีอยู่ แต่การร่วมมือกันของทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการเงินจะช่วยให้เราสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ แน่นอนว่าเราอาจไม่สามารถขจัดความเสี่ยงได้ทั้งหมด แต่เราสามารถเรียนรู้วิธีการรับมือกับความเสี่ยงและลดความเสี่ยงให้เหลือในระดับที่ยอมรับได้อย่างชาญฉลาด เพื่อให้การเดินทางสู่ Net Zero ไปต่อได้ไม่มีสะดุดครับ