กนง.หวั่นปัญหา ‘หนี้’ ลามสู่กลุ่มรายได้สูง แบงก์เข้มปล่อยกู้

กนง.ห่วงปม ‘หนี้’ ลามกลุ่มรายได้สูงแบงก์เข้มปล่อยกู้ ‘อสังหาริมทรัพย์หรู - เช่าซื้อ’ ในกลุ่มราคาสูงขึ้น ขณะพบครัวเรือน เอสเอ็มอีอ่อนแอลง
การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งแรกของปี วันที่ 21 ก.พ.2568 ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตลาดส่วนใหญ่ค่อนข้าง“เซอร์ไพรส์” กับผลประชุม กนง. ที่มีมติ “ลดอัตราดอกเบี้ยลง” 0.25% จากระดับ 2.25% มาสู่ 2.0%
การลดดอกเบี้ยของ กนง.ที่ผ่านมา หลายนักเศรษฐศาสตร์มองว่า สวนทางการสื่อสารของ กนง.ในช่วงที่ผ่านมา ที่มองว่า การลดดอกเบี้ย อาจไม่มีประสิทธิภาพมากนัก ในยามที่ตลาดมีความผันผวน และมีความไม่ชัดเจน ไม่แน่นอนสูง อาจทำให้ผลจากการลดดอกเบี้ยลง มีผลบวกน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
ดังนั้นจึงคาดการณ์ว่า กนง.อาจลดดอกเบี้ยหลังเดือนเม.ย.ปี 2568 ไปแล้ว เพื่อรอให้นโยบายทรัมป์ 2.0 ที่เกี่ยวกับการขึ้นกำแพงภาษีชัดเจนก่อน ถึงค่อยกลับมาใช้ Policy space หรือขีดความสามารถดำเนินนโยบายการเงิน
ล่าสุด กนง.เปิดเผยรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (ฉบับย่อ) ที่น่าสนใจ และถือเป็นเหตุผลหนึ่งในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงคือ “ภาวะการเงิน และเสถียรภาพระบบการเงิน” แม้สัญญาณภาวะการเงินที่ตึงตัวจะเริ่มทรงตัวมากขึ้น จากสินเชื่อชะลอตัว และคุณภาพสินเชื่อที่เริ่มมีสัญญาณทรงตัวบ้าง
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ภาคการเงินยังมีความเสี่ยงที่ต้องจับตาใกล้ชิด กนง.ระบุว่า การขยายตัวของสินเชื่อธุรกิจมาจากสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ขณะที่สินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอี โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างยังหดตัวต่อเนื่อง
ไม่เพียงเท่านั้น สภาพคล่องเพื่อดำเนินธุรกิจของเอสเอ็มอี ยังถูกกดดันเพิ่มเติม จากสินเชื่อทางการค้าที่แย่ลงทำให้เอสเอ็มอีส่วนใหญ่ยังประสบปัญหาเกี่ยวกับระยะเวลารับชำระเงินจากลูกหนี้การค้าที่ยาวขึ้น
สินเชื่ออุปโภคบริโภคยังน่าห่วง สินเชื่อที่ลดลง ส่วนหนึ่งมาจากครัวเรือนที่รายได้ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และมีภาระหนี้สูง ทั้งนี้ ยังต้องติดตามแนวโน้มการขยายตัว และคุณภาพสินเชื่อในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอี และครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง
คณะกรรมการ กนง.แสดงความกังวลในประเด็นสินเชื่อที่ยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจน จึงเห็นควรให้ ติดตามการขยายตัวและคุณภาพของสินเชื่อโดยเฉพาะสินเชื่อเอสเอ็มอี และสินเชื่ออุปโภคบริโภคอย่างใกล้ชิด
โดยกรรมการบางท่านตั้งข้อสังเกตว่า การกลับมาขยายตัวของสินเชื่อในช่วงปลายปี อาจมาจากปัจจัย เฉพาะจากการที่สถาบันการเงินเร่งปล่อยสินเชื่อให้ถึงเป้าหมาย รวมทั้งคุณภาพสินเชื่อที่ปรับดีขึ้นส่วนหนึ่งเป็น ผลจากการขายหนี้เสีย และตัดหนี้สูญของสถาบันการเงินในช่วงปลายปี
นอกจากนี้ กนง.ยังกังวลต่อการด้อยลงของคุณภาพสินเชื่อกลุ่มรายได้ต่ำที่อาจเริ่มลุกลามมายังกลุ่มรายได้ที่สูงขึ้น รวมถึงคุณภาพสินเชื่อที่ปรับแย่ลงอาจส่งผลให้สถาบันการเงินระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นได้ โดยเฉพาะสินเชื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อเช่าซื้อ
ไม่เพียงแค่ปัญหาด้านคุณภาพสินเชื่อ ที่อาจลุกลามไปสู่กลุ่มรายได้สูง แต่ปัจจุบันยังเริ่มเห็นสถาบันการเงินระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น ในสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่มีวงเงินสูงขึ้น จึงต้องติดตามอย่าง ใกล้ชิด
โดยกรรมการมองว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้จะช่วยลดทอน ความตึงตัวของภาวะการเงิน ซึ่งสะท้อนจากปริมาณสินเชื่อในระบบสถาบันการเงิน และการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ที่ชะลอตัว
อีกทั้ง มองว่าการปรับลดดอกเบี้ยลงไม่ได้สร้างต้นทุนความเสี่ยงต่อเสถียรภาพ ระบบการเงินในระยะยาวมากนัก
ขณะเดียวกันการ “ลดดอกเบี้ย” ยังช่วยประคับประคองเศรษฐกิจผ่านการบรรเทาภาระหนี้ และเอื้อต่อ การปรับตัวของธุรกิจ โดยสอดประสานกับมาตรการเฉพาะจุด เช่น มาตรการ “คุณสู้ เราช่วย” ที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยลดภาระของลูกหนี้กลุ่มเปราะบาง
กรรมการส่วนใหญ่เห็นว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับ แนวโน้มเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ และมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น โดยไม่ได้เป็นการเริ่มต้นวัฏจักรผ่อนคลายนโยบายการเงิน (easing cycle)
กรรมการบางท่าน มีความเห็นเพิ่มเติมว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้มีส่วนช่วยรองรับ กรณีที่ เศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าคาดในระยะข้างหน้า
โดยรวมแล้ว กนง.มองว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.00 ต่อปี เป็นระดับที่นโยบายการเงินยังมีขีดความสามารถ (policy space) เพียงพอในการรองรับสถานการณ์ต่างๆ ที่ อาจจะเกิดขึ้นได้ และยังเป็นระดับที่สามารถรองรับความไม่แน่นอนข้างหน้าได้ระดับหนึ่ง (robust policy) โดยไม่ต้องผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมหากเศรษฐกิจไม่ได้เผชิญ shocks ที่รุนแรงกว่าคาด
“เศรษฐกิจเสี่ยงต่ำคาด” ภาคการผลิตฉุดซ้ำ
กนง.ยังเปิดเหตุผลถึงการปรับ “ลดอัตราดอกเบี้ย” สาเหตุหลักๆ มาจาก เศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวต่ำกว่าคาด แม้อุปสงค์ในประเทศ การท่องเที่ยว และการส่งออกสินค้ายังขยายตัวดี แต่ไม่ได้ส่งผลบวกต่อภาคผลิตมากนัก อาจเป็นตัวฉุดรั้งสำคัญทำให้เศรษฐกิจไทยต่ำกว่าเป้าหมายปีนี้
กนง.มองว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวสูงกว่า 2.5% เพียงเล็กน้อย หากเทียบกับประมาณการเดิมที่ 2.9% จากภาคการผลิตที่ถูกกดดันจากปัญหาเชิงโครงสร้าง และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น
นอกจากนี้ ยังพบว่า “เศรษฐกิจ” แต่ละภาคส่วนขยายตัวแตกต่างกันมากขึ้น (K-shape) ภาคบริการมีแนวโน้มขยายตัวดี โดยเฉพาะที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ส่วนภาคผลิตกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ได้รับปัจจัยสนับสนุน จากวัฏจักรสินค้าเทคโนโลยี สวนทางกับภาคอุตสาหกรรมที่เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวกับ ยานยนต์ และภาคอสังหาริมทรัพย์มีพัฒนาการ “แย่ลง”
การผลิตรถยนต์ถูกกดดันจากการแข่งขันจาก รถยนต์ไฟฟ้า (EV) กำลังซื้อในประเทศที่อ่อนแอ และสถาบันการเงินระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อให้กลุ่มที่มีความเสี่ยงด้านเครดิตสูง แม้มีสัญญาณเชิงบวกบ้างจากราคารถยนต์มือสองที่เริ่มทรงตัว
ในภาคอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มชะลอตัวจากกำลังซื้อในประเทศที่ลดลง โดยสถาบันการเงินระมัดระวังปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยเนื่องจากสัดส่วนการผิดนัดชำระหนี้ ที่ปรับสูงขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มรายได้ต่ำ ถึงปานกลาง จึงต้องติดตามธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะรายเล็กที่มีข้อจำกัดด้านสภาพคล่อง และการปรับตัว รวมถึงผู้รับเหมาก่อสร้างที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เพื่อประเมินภาพใกล้ชิด ดังนั้น กนง.มองว่า เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่เคยประเมินไว้ และมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ในระยะข้างหน้า
ปัจจัยหลักมาจากภาคการผลิตที่ถูกกดดันอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง ผลกระทบที่อาจรุนแรงขึ้นจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก จากการเผชิญการแข่งขันที่สูงขึ้นจากสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอี ที่เผชิญความท้าทายการปรับตัว และมีข้อจำกัดเข้าถึงสินเชื่อ รวมทั้งการแข่งขันที่อาจสูงขึ้นอีกในระยะต่อไป
ไม่เพียงเท่านั้นกรรมการบางส่วน แสดงความกังวลว่า ภาคบริการและการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลัก (growth driver) อาจสนับสนุนเศรษฐกิจได้ลดลงเมื่อเทียบกับช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา
ส่วนหนึ่งจากการท่องเที่ยวที่ขยายตัวชะลอลงตามพฤติกรรมการใช้จ่าย และโครงสร้างของนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป รวมถึงขีดความสามารถการแข่งขันของภาคท่องเที่ยวไทยในระยะยาว
ด้านอุปสงค์ มีแนวโน้มขยายตัวจากการบริโภคภาคเอกชน โดยการบริโภคของกลุ่มผู้มีรายได้สูงยังขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มผู้มีรายได้ต่ำถึงปานกลางถูกกดดันจากการขยายตัวของรายได้ที่ไม่ทั่วถึง และภาวะสินเชื่ออุปโภคบริโภคที่ชะลอลง
โดย กนง.มองว่า การบริโภคภาคเอกชนที่ผ่านมาถูกขับเคลื่อนโดยครัวเรือนกลุ่มรายได้ปานกลาง และสูง แต่ครัวเรือน กลุ่มดังกล่าวอาจระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้นในระยะต่อไป ตามความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ และปัจจัย ด้านความมั่งคั่งที่ลดลง (wealth effect)ตามมูลค่าของตลาดหุ้นไทย
นอกจากนี้ความเสี่ยงยังมาจากมาตรการภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (reciprocal tariffs) ที่อาจส่งผลกระทบต่อสินค้าเกษตร และอาหารแปรรูปของไทยที่มีส่วนต่างภาษีระหว่างไทย และสหรัฐ ค่อนข้างสูง
โดยรวมแล้ว นโยบายการค้าของสหรัฐ ยังมีความไม่แน่นอนสูงทั้งในมิติรูปแบบ และช่วงเวลา รวมทั้งการตอบโต้ ของประเทศเศรษฐกิจหลักอื่น โดยฉากทัศน์ที่สหรัฐ เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นรวมเป็น30% และประเทศกลุ่มเสี่ยงรวมถึงไทยถูกเก็บภาษีนำเข้าสินค้า10% การขยายตัวของเศรษฐกิจอาจปรับลดลง จากกรณีฐานประมาณ 0.3-0.5%
ทั้งนี้ คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ผ่านช่องทาง การส่งออกสินค้าของไทยไปสหรัฐ โดยตรงลดลง การส่งออกสินค้าขั้นกลางของไทยไปจีน ลดลง
และปัญหาการแข่งขันกับอุปทานส่วนเกินของจีนทั้งในตลาดส่งออก และตลาดในประเทศที่รุนแรงขึ้นสุดท้ายแล้วบนฉากทัศน์นี้ ยังมีความไม่แน่นอนสูง และผลกระทบอาจรุนแรงขึ้นหากมี มาตรการตอบโต้ทางการค้าเพิ่มเติมได้
หากมองไปข้างหน้า “เศรษฐกิจไทย” มีความเสี่ยงจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยอาจได้รับ ผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐ ที่จะออกมาเพิ่มเติม เช่น มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าโดยตรงราย ประเทศ ซึ่งไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่อาจถูกสหรัฐ ปรับขึ้นภาษีจากการเกินดุลการค้ากับสหรัฐ อย่างต่อเนื่อง
การลดดอกเบี้ยครั้งนี้ กนง.จึงมองเห็นว่า เป็นทางเลือกที่เหมาะสม และสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้และมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น โดยไม่ได้เป็นการ เริ่มต้นวัฏจักรการผ่อนคลายนโยบายการเงิน (easing cycle) นอกจากนี้ กรรมการบางท่าน มีความเห็นเพิ่มเติมว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้มีส่วนช่วยรองรับ กรณีที่ เศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าคาดในระยะข้างหน้า
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์