ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปรียบเศรษฐกิจไทยเป็น ‘คนป่วยแห่งเอเซีย’

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปรียบเศรษฐกิจไทยเป็น ‘คนป่วยแห่งเอเซีย’

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้เศรษฐกิจไทยน่าห่วง เทียบเป็น “คนป่วยแห่งเอเชีย” จีดีพีปีนี้จ่อต่ำเป้าที่ 2.4% ห่วงยอดปิดโรงงานลามสู่ธุรกิจขนาดกลาง ขนาดใหญ่มากขึ้น

นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยขณะนี้ ถือว่าน่าห่วง

โดยภายใต้การคาดการณ์จีดีพีของศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์จีดีพีเติบโตเพียงระดับ 2.4% โดยยอมรับว่ามี Downside risk มากขึ้น ที่จะทำให้จีดีพีต่ำกว่าที่ประเมินไว้ หลักๆมาจากสงครามการค้า 

ทั้งนี้มองว่า เวลานี้เศรษฐกิจขาดปัจจัยบวก ดีมานด์ในประเทศแย่ ดังนั้นประเทศไทยจึงได้ชื่อว่าเป็น “คนป่วยแห่งเอเชีย” หรือ Sick man of Asia

ดังนั้นมองว่า ต้องหานโยบายที่เป็น Quick Wins ที่ทำให้เกิดผลได้รวดเร็ว ซึ่งการแก้หนี้ก็ถือว่าอยู่ในแผน

นอกจากนี้มองว่าภายใต้เศรษฐกิจที่ชะลอตัว คนกลุ่มล่างมีปัญหาทั้งการจับจ่ายและชำระหนี้ ดังนั้นต้องหาทางกระตุ้นคนที่มีกำลังให้เกิดการใช้จ่ายมากขึ้น เช่นเดียวกันการกระตุ้นให้ต่างชาติเข้ามาในไทยเพิ่มขึ้น เพื่อหนุนจีดีพีในระยะข้างหน้า

นอกจากนี้ยังมองว่า ปัจจุบันแม้เศรษฐกิจโดยรวมจะเติบโตระดับต่ำ แต่เศรษฐกิจนอกระบบมีสูง และเป็นเศรษฐกิจที่มีเงินอยู่จำนวนมาก ดังนั้นโจทย์คือทำอย่างไรที่จะดึงเศรษฐกิจนอกระบบต่างๆกลับมาอยู่ในระบบได้มากขึ้น เพื่อหนุนการเติบโตเศรษฐกิจให้มากขึ้น 

โดยปัจจัยฉุดเศรษฐกิจไทย หลักๆมาจากนโยบายทรัมป์ 2.0 จากการขึ้นกำแพงภาษี แม้ภายใต้ประมาณการณ์จะมีการรวมผลกระทบจากการขึ้นกำแพงภาษีไปแล้วระดับหนึ่ง ที่คาด 0.3%

ภายใต้การขึ้นกำแพงภาษีกับสินค้าส่งออกไทยที่ 10% แต่หากมากกว่านี้มีโอกาสที่ผลกระทบจะมากกว่าคาด ที่อาจทำให้เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบอย่างมาก ดังนั้นต้องจับตาหลังวันที่ 2เม.ย.ที่จะมีความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายการขึ้นกำแพงภาษีจากทรัมป์ 

ทั้งนี้มองว่าท่ามกลางความท้าทายทางด้านการขาดดุลการค้าอย่างเรื้อรังและหนี้สาธารณะที่พุ่งสูงขึ้นของสหรัฐฯ แนวทางการแก้ปัญหาที่เริ่มมีการกล่าวถึงมากขึ้นในปี 2568 คือข้อตกลง Mar-a-Lago Accord  คล้ายคลึงกับข้อตกลง Plaza Accord  ในปี 2528 ที่สหรัฐฯ เคยนำมาใช้ 

โดยเป้าหมายหลักของ Mar-a-Lago Accord  คือ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ต้องอ่อนค่าลง เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกสหรัฐฯ รวมถึงการฟื้นฟูภาคการผลิตของสหรัฐฯ และการลดภาระหนี้สหรัฐฯ โดยประเทศพันธมิตรที่พึ่งพาการคุ้มครองด้านความมั่นคงจากสหรัฐฯ ต้องเข้ามาถือพันธบัตรรัฐบาล 100 ปี  

นายรุจิพันธ์ อัสสะรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด  ประเมินผลกระทบจากสงครามการค้าต่อตลาดรถยนต์โลก โดยมองว่าจะทำให้ตลาดรถยนต์โลกเกิดการแข่งขันสูงขึ้น ภาวะอุปทานรถยนต์ล้นเกินของโลกรุนแรงขึ้น และราคารถยนต์ในตลาดโลกมีแนวโน้มลดลง 

โดยประเทศผู้ผลิตรายหลักในตลาดโลก เช่น ญี่ปุ่น เยอรมนี และเกาหลีใต้ จะกระจายตลาดส่งออกรถยนต์มากขึ้น ขณะเดียวกัน ก็จะเข้าไปลงทุนในสหรัฐอเมริกาเพื่อผลิตรถยนต์ป้อนตลาดสหรัฐฯ ลดผลกระทบจากการที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้า 

ทั้งนี้ การแข่งขันในตลาดรถยนต์โลกที่เพิ่มสูงขึ้น คาดว่าจะซ้ำเติมภาวะอุปทานรถยนต์ล้นเกินของโลกให้รุนแรงขึ้น จากปัจจุบันที่ยอดผลิตรถยนต์โลกมีจำนวนที่สูงกว่ายอดขายรถถึง 16%

นอกจากนี้ ราคารถยนต์ในตลาดโลกมีแนวโน้มลดลง ยกเว้นตลาดสหรัฐฯ จากการที่ค่ายรถยนต์จีนน่าจะยังใช้กลยุทธ์ด้านราคาต่อเนื่อง ซึ่งการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้นดังกล่าว คาดว่ายังจะส่งผลต่อการส่งออกรถของไทยและต่อเนื่องไปยังภาคการผลิตรถ ซึ่งปัจจุบันพึ่งพาตลาดส่งออกสูงถึง 67% ของยอดการผลิตรถทั้งหมดของไทย

นางสาวเกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลกระทบจากการขึ้นภาษีของทรัมป์ ฉุดการผลิตอุตสาหกรรมไทยให้เสี่ยงหดตัวราว 1.0% ในปี 2568 

ขณะที่ไทยหวังพึ่งแรงส่งจากการท่องเที่ยวได้ไม่มากเท่าปีก่อน โดยผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า จะได้รับผลกระทบทางตรงจากการขึ้นภาษีและคำสั่งซื้อที่ลดลงของสหรัฐฯ เนื่องจากพึ่งพาสหรัฐฯ ในฐานะตลาดส่งออกสำคัญ ส่วนรถยนต์ เหล็ก อะลูมิเนียม ถูกกระทบทางอ้อมจากการแข่งขันที่รุนแรงท่ามกลางเศรษฐกิจหลักในโลกที่ชะลอลง 

สิ่งที่ตามมาคือ แรงงานในภาคการผลิตที่ทักษะต่ำจะมีความเสี่ยงด้านรายได้ โดยโรงงานอิเล็กทรอนิกส์และรถยนต์เริ่มมีสัญญาณการปิดตัวเพิ่มขึ้นและเป็นขนาดกลางถึงใหญ่ ซึ่งสถานการณ์คงจะท้าทายมากขึ้นอีกเมื่อสหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ในต้นเดือนเมษายนนี้ 

ยอดปิดโรงงามลามรายกลาง-ใหญ่

ในช่วง 2 เดือนปี 2568 ที่ผ่านมา เริ่มเห็นโรงงานในกลุ่มการผลิต เช่นอิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ ปิดตัวเพิ่มขึ้น โดยเริ่มเห็นการปิดโรงงานในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางถึงขนาดใหญ่มากขึ้น

โดยเฉพาะธุรกิจที่มีทุนจดทะเบียนที่เกิน 100ล้านบาท จากเดิมการปิดโรงงานส่วนใหญ่จำกัดอยู่เฉพาะธุรกิจขนาดเล็กที่มีทุนจดทะเบียนเพียง 2ล้านบาท 

สอดคล้องกับชั่วโมงการทำงานในอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆที่ปรับลดลงต่อเนื่อง ซึ่งต่ำกว่าในอดีตที่มีชั่วโมงการทำงานเกิน 40ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยพบว่าชั่วโมงการทำงานปัจจุบันปรับลดลง 11%

ส่วนการปิดโรงงานปัจจุบันแม้จะอยู่ระดับทรงตัว แต่ยอดการปิดโรงงานสะสมยังอยู่ระดับสูง โดยนับตั้งแต่ปี 2564 ถึงปัจจุบัน พบว่าปิดโรงงานไปแล้วทั้งหมดเกือบ 5,000 แห่ง

นอกจากนี้ ไทยคงคาดหวังแรงส่งจากการท่องเที่ยวได้ไม่มากเท่าปีก่อน หลังจำนวนนักท่องเที่ยว 2 ชาติหลักอย่างจีนและมาเลเซียลดต่ำลง อีกทั้ง การแข่งขันกันดึงนักท่องเที่ยวและพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ทำให้การฟื้นตัวของตลาดต่างชาติเที่ยวไทยกลับไปสู่ระดับก่อนโควิดหรือมากกว่านั้น เป็นเรื่องที่ไม่ง่าย

นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ขยายความว่า หากไทยโดนภาษีนำเข้า Reciprocal Tariff เพิ่มขึ้นอีก 10% คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อจีดีพีที่ -0.3% ซึ่งผลกระทบดังกล่าวได้รวมไว้ในการประมาณการจีดีพีปี 2568 ที่ 2.4% แล้ว 

อย่างไรก็ตาม หากไทยโดนภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอีก 25% คาดว่าจะส่งผลต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นเป็น -0.6% และประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2568 ที่ปัจจุบันมองไว้ที่ 2.4% มีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลดลงแต่จะยังอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 2.0% 

นอกจากนี้ ทิศทางเศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังของปี 2568 แทบจะไม่เติบโตเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส (QoQ) จากผลกระทบสงครามการค้า ปัจจัยฐานที่สูงในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และแรงส่งทางเศรษฐกิจลดลง

นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า ทิศทางเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอน ทำให้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยยังเป็นขาลงทั้งในและต่างประเทศ

แต่สำหรับภาคเอกชนไทยที่มีแผนระดมทุน อาจต้องระวังว่า ต้นทุนการระดมทุนอาจไม่ได้ลดลงมากอย่างที่คาด เพราะนักลงทุนในประเทศยังแสดงสัญญาณระมัดระวัง ทำให้ Spread หุ้นกู้บางกลุ่มยังปรับขึ้น

ด้านค่าเงินบาท คาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 33.0 -34.5 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงไตรมาส 2/2568 โดยมีโอกาสแข็งค่าในระยะสั้น ตามการปรับขึ้นของราคาทองคำ และการคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของเฟด

ส่วนสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ไทย เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัว แต่ส่วนหนึ่งเป็นการย้ายมาจากตลาดตราสารหนี้ ทำให้ทั้งปี ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงมุมมองว่าสินเชื่อจะโตไม่สูงที่ 0.6%

โดยสินเชื่อเอสเอ็มอีและสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์น่าจะยังหดตัว สอดคล้องกับสถานการณ์ธุรกิจและอำนาจซื้อที่ไม่แน่นอน ขณะที่มองว่ามาตรการ LTV ที่เพิ่งผ่อนคลายจะทำให้ประมาณการสินเชื่อบ้านปีนี้โตเพิ่มขึ้นได้อีก 0.1-0.2% จากประมาณการเดิมที่ 0.5%