ทำธุรกิจคลินิกรักษาสัตว์ รู้ก่อนยื่นภาษี ทำอย่างไรให้ถูกต้อง

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีที่เกี่ยวข้องกับคลินิกรักษาสัตว์ เพื่อให้เจ้าของธุรกิจสามารถเตรียมตัวและยื่นภาษีได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
การดำเนินธุรกิจคลินิกรักษาสัตว์ไม่ใช่แค่การให้บริการดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยงเท่านั้น แต่ยังมีภาระทางภาษีที่เจ้าของธุรกิจต้องให้ความสำคัญ หากไม่มีการวางแผนหรือทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีที่เกี่ยวข้อง อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานและต้นทุนของคลินิกได้
การเสียภาษีอย่างถูกต้องไม่เพียงช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงจากค่าปรับหรือปัญหาทางกฎหมายได้อีกด้วย
ในบทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีที่เกี่ยวข้องกับคลินิกรักษาสัตว์ เพื่อให้เจ้าของธุรกิจสามารถเตรียมตัวและยื่นภาษีได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ สามารถอธิบายได้ดังนี้
ภาษีธุรกิจคลินิกรักษาสัตว์ประกอบด้วย
1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
เจ้าของคลินิกรักษาสัตว์ที่ดำเนินธุรกิจในนามบุคคลธรรมดา ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยรายได้จากคลินิกจัดอยู่ในประเภทเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) และสามารถหักค่าใช้จ่ายจริงตามที่จำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้เจ้าของคลินิกรักษาสัตว์มีหน้าที่ยื่นภาษีปีละ 2 ครั้ง ดังนี้
1.สำหรับรายได้ที่ได้รับระหว่างเดือนมกราคมถึงมิถุนายน ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.94 และชำระภาษีภายในเดือนกันยายนของทุกปี
2.สำหรับรายได้ตลอดปีตั้งแต่เดือนมกราคมถึงธันวาคม ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 และชำระภาษีภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไป
2.ภาษีเงินได้นิติบุคคล
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการคลินิกรักษาสัตว์ต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตราสูงสุด 20% ของกำไรสุทธิ และมีหน้าที่ในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีดังต่อไปนี้
- สำหรับภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งรอบปี ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 พร้อมชำระภาษี (หากมี) ภายใน 2 เดือน นับจากวันสิ้นสุดของช่วง 6 เดือนแรกของรอบบัญชี
- สำหรับภาษีเงินได้เมื่อสิ้นรอบปีบัญชี ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 พร้อมชำระภาษี (หากมี) ภายใน 150 วัน นับจากวันสิ้นสุดของรอบระยะเวลาบัญชี
3.ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) (ภ.พ.30)
ธุรกิจคลินิกรักษาสัตว์ที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 30 วันนับจากวันที่มีรายได้เกิน และนำส่งภาษีให้กรมสรรพากรเป็นรายเดือน แต่อย่างไรก็ตาม หากคลินิกมีการจำหน่ายยาและอาหารสัตว์ รายได้จากส่วนนี้จะได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มและไม่ต้องนำมาคำนวณภาษี
สำหรับการคำนวณมูลค่าฐานภาษีเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม จะพิจารณาเฉพาะรายได้จากการให้บริการรักษาสัตว์ โดยมีเงื่อนไขดังนี้
- หากรายได้ไม่เกิน 1,800,000 บาทต่อปี จะได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81/1 ว่าด้วยกิจการขนาดย่อม ซึ่งไม่ต้องจดทะเบียนและไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
- หากต้องการเข้าระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้ประกอบการสามารถยื่นคำขอจดทะเบียนต่ออธิบดีกรมสรรพากรได้ โดยต้องดำเนินการภายใน 30 วันนับจากวันที่แจ้งความประสงค์
4.ภาษีหัก ณ ที่จ่าย
- หากคลินิกจ้างบุคคลภายนอก เช่น สัตวแพทย์อิสระ หรือนักเทคนิคการสัตวแพทย์ ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ในอัตรา 3% และนำส่งกรมสรรพากร
- หากค่ารักษาพยาบาลสัตว์ถูกชำระโดยรัฐบาล องค์กรของรัฐ เทศบาล หรือหน่วยงานบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ต้องถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตรา 1% ตามกรณีที่เกี่ยวข้อง
5.ภาษีป้าย
เจ้าของกิจการคลินิกรักษาสัตว์ควรทราบเกี่ยวกับภาษีป้าย ซึ่งเป็นภาษีที่ต้องชำระหากมีการติดตั้งป้ายโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์หน้าคลินิกในที่สาธารณะ เพื่อให้แน่ใจว่ามีการจ่ายภาษีอย่างถูกต้อง ลองมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับอัตราภาษีป้ายแต่ละประเภทดังต่อไปนี้
- 5.1 ป้ายที่มีเฉพาะตัวอักษรไทย
- หากเป็นป้ายที่สามารถเปลี่ยนข้อความหรือเคลื่อนไหวได้ อัตราภาษีอยู่ที่ 10 บาท ต่อ 500 ตารางเซนติเมตร
- สำหรับป้ายทั่วไปที่ไม่มีการเคลื่อนไหว อัตราภาษีอยู่ที่ 5 บาท ต่อ 500 ตารางเซนติเมตร
- 5.2 ป้ายที่มีตัวอักษรไทยปนกับอักษรต่างประเทศ และ/หรือมีภาพหรือเครื่องหมายอื่นประกอบ
- หากเป็นป้ายที่สามารถเปลี่ยนข้อความ เครื่องหมาย หรือภาพได้ อัตราภาษีอยู่ที่ 52 บาท ต่อ 500 ตารางเซนติเมตร
- สำหรับป้ายทั่วไปที่ไม่มีการเคลื่อนไหว อัตราภาษีอยู่ที่ 26 บาท ต่อ 500 ตารางเซนติเมตร
- 5.3 ป้ายที่ไม่มีตัวอักษรไทยเลย หรือมีอักษรไทยอยู่ต่ำกว่าภาษาต่างประเทศ
- หากเป็นป้ายที่สามารถเปลี่ยนข้อความ เครื่องหมาย หรือภาพได้ อัตราภาษีอยู่ที่ 52 บาท ต่อ 500 ตารางเซนติเมตร
สรุป ธุรกิจคลินิกรักษาสัตว์ต้องเสียภาษีหลายประเภท ทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีหัก ณ ที่จ่าย และภาษีป้าย การปฏิบัติตามกฎหมายภาษีอย่างถูกต้องจะช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างราบรื่น
อ่านบทความน่ารู้เกี่ยวกับภาษีเพิ่มเติม คลิกที่นี่
Source : Inflow Accounting