หุ้นยุโรป ระยะสั้นน่าสนใจลดลง แนะสลับลงทุนสู่กองทุนหุ้นญี่ปุ่น

หุ้นยุโรปพุ่งแรง! รับ “เยอรมนี” ผ่อนปรนมาตรการจำกัดหนี้ ณ 19 มี.ค. 2568 ที่ผ่านมา ดัชนี STOXX 600 มีการปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง
ปิดตลาดที่ระดับ 513.02 จุด เพิ่มขึ้น 0.61% รวมถึง ดัชนี CAC-40 “ตลาดหุ้นฝรั่งเศส” ปิดที่ 7,445.69 จุด เพิ่มขึ้น 2.24% ,ดัชนี DAX “ตลาดหุ้นเยอรมนี” ปิดที่ 20,216.19 จุด เพิ่มขึ้น 1.56% และดัชนี FTSE 100 “ตลาดหุ้นลอนดอน” ปิดที่ 8,249.66 จุด เพิ่มขึ้น 0.31%
ทุกดัชนีขานรับแรงหนุน ภายหลังรัฐสภาเยอรมนีอนุมัติแผนการใช้จ่ายครั้งใหญ่ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ขณะที่ “นักลงทุน” ให้ความสนใจกับการเจรจาระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ และรัสเซีย ซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเมืองโลก และเปิดทางสู่ข้อตกลงสันติภาพในยูเครน นำไปสู่การยุติสงครามได้ และการอนุมัติการปฏิรูปกฎเกณฑ์การกู้เงินของรัฐบาลเยอรมนี รวมถึงการที่สหรัฐฯ อาจเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่รุนแรงน้อยกว่าที่วิตกกัน
เมื่อหุ้นยุโรปพุ่งแรงขึ้น ความน่าสนใจลงทุน มีแรงส่งต่อในระยะถัดไป หรือไม่นั้น “รัฐศักดิ์ พิริยะอนนท์” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์บล.กสิกรไทย มีมุมมองต่อตลาดหุ้นยุโรปว่า ตลาดมีการปรับตัวขึ้นดีตั้งแต่ต้นปี หนุนจากมาตรการผ่อนคลายทางการเงินของ ECB กอปรกับความหวังที่จะเห็นสงครามในตะวันออกกลางและยูเครนยุติซึ่งจะส่งผลให้ราคาพลังงานปรับลดลงและเป็นบวกต่อกำลังซื้อของภาคเอกชน รวมถึงการเลือกตั้งเยอรมันที่ออกมารัฐบาลใหม่มีแนวโน้มเพิ่มการใช้จ่ายช่วยให้ภาพเศรษฐกิจยุโรปเร่งตัวขึ้นในปีนี้
ด้วยหุ้นยุโรปปรับขึ้นมาดีตั้งแต่ต้นปี โดยเฉพาะเทียบกับภาพรวมตลาดหุ้นโลก ทำให้มองความน่าสนใจระยะสั้นตลาดหุ้นยุโรปมี “น้อยลง” อีกทั้งมีปัจจัยเสี่ยงเชิงลบเข้ามาเพิ่มจากนโยบายการค้าและภาษีนำเข้าที่จะเพิ่มขึ้นจากสหรัฐ
แนะนำว่า “ขายทำกำไร” หรือ “ลดน้ำหนัก” การลงทุนในหุ้นยุโรปในระยะสั้น หากจะเข้าลงทุนอาจพิจารณารอเข้าซื้อเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัวสำหรับตลาดหุ้นยุโรป หรือแนะนำสสับไปลงทุนกองทุนหุ้นญี่ปุ่นที่มีภาพของการอัปเกรดประมาณการ “กำไร” ในตลาด และภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวจากค่าจ้างแรงงานที่เริ่มปรับขึ้นชัด
ฝั่ง “กองทุน” เป็นผู้ลงทุนระยะยาว ประเมิน ตลาดหุ้นยุโรป ยังถือเป็นอีกหนึ่งภูมิภาคที่มีความน่าสนใจ “บดินทร์ พุทธอินทร์” ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในส่วนตลาดหุ้นยุโรป จากต้นปีที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นประมาณ 10% เป็นผลมาจาก 5 เรื่องหลัก ที่เป็นปัจจัยหนุนในส่วนของตัวตลาดหุ้นยุโรป ดังนี้
1.ประเด็นแรกคือ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปแล้วสองครั้ง ซึ่งสัดส่วนหลักของตลาดหุ้นยุโรปจากภาคการผลิตและภาคอุตสาหกรรม ซึ่งการลดดอกเบี้ยนโยบายนั้นเป็นตัวช่วยหนุนเรื่องต้นทุนภาคผลิต
2.ประเด็นถัดมาเป็นเรื่องเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป แม้จะมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่อาจจะไม่เท่ากับในฝั่งของตัวสหรัฐ แต่การเติบโตแบบไตรมาสต่อไตรมาส คาดจะขยายตัวอยู่ที่ประมาณ 0.3% ซึ่งคาดการขยายตัวทั้งปีน่าจะอยู่ที่ประมาณ 1% ล่าสุด มีการประกาศจีดีพีไตรมาสสี่ซึ่งมีการปรับประมาณการดีกว่าคาด จากเดิม 0.9% เป็น 1.2% (YoY) ส่งผลให้ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจในกลุ่มสามารถยุโรปเพิ่มสูงขึ้น
3.ระดับราคาตลาดหุ้นยุโรป (Forward P/E) ยังถือว่าไม่ได้แพงเทียบกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐ และ ญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบันระดับ Forward PE ของ Stoxx600 อยู่ที่ 15 เท่าและอยู่ระดับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ทำให้เป็นปัจจัยหนึ่งหนุนตลาดหุ้นยุโรป
4.ส่วนมาตรการด้านการกีดกันการค้าสหรัฐในปัจจุบันยังไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในสหภาพยุโรปมาก และอนาคตคาดหากมีมาตรการการเก็บภาษีศุลกากรอาจจะไม่ได้ถูกเหมารวมทั้งสหภาพ แต่อาจจะมุ่งเป้าเป็นรายประเทศที่มีเกินดุลการค้ากับสหรัฐ ในส่วนนี้ก็อาจจะลดผลกระทบจากภาพรวมของสหภาพยุโรปไปได้
5.เรื่องการใช้จ่ายสินค้าฟุ่มเฟือยที่เพิ่มสูงขึ้นจากทางจีน ทำให้ในส่วนนี้เองเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหนุนที่ส่งผลให้กลุ่มของ Consumer discretionary ที่ถือว่ามีสัดส่วนติดหนึ่งในสามของดัชนีในตลาดหุ้นยุโรป และส่งผลให้กลุ่มหุ้นของกลุ่มอุตสาหกรรมนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น
เรายังมีมุมมองต่อจากนี้ประเมินตลาดหุ้นยุโรปยังมีความน่าสนใจ จากประเด็นเรื่องความเสี่ยงด้านภูมิศาสตร์ไม่สูงมาก
เนื่องจากตัวยุโรปเองเป็นพันธมิตรกับทางสหรัฐ รวมถึงแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในสภาพยุโรปที่เริ่มมีแนวโน้มที่ดูดีขึ้น และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากธนาคารกลางยุโรป
รวมถึงเยอรมันก็เพิ่งได้มีการเลือกตั้ง และได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งเยอรมันถือเป็นเสาหลักของยุโรป และเยอรมันเองก็มีแผนที่จะดัน GDP ให้ถึง 2% ในปี 2573 ถึงแม้ในทางปฏิบัติอาจจะยังมีความท้าทายอยู่ แต่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในเรื่องการตั้งเป้าขยายตัวทางเศรษฐกิจ และที่สำคัญแผนเรื่องการปรับปรุงมาตรการคลัง อย่าง Debt Brake ที่จะปรับเพิ่ม การขาดดุลงบประมาณการคลังจากเดิม 0.35% เป็น 1.4% ซึ่งคาดจากปัจจัยนี้เองอาจจะเป็นแรงหนุนต่อตัวตลาดหุ้นยุโรปยังคงมีความน่าสนใจอยู่ในปีนี้ !!