‘ไทย โคโคนัท’ ลุยขยายตลาดจีน เล็งปั้นสินค้าใหม่ หนุนรายได้โต 30%
"ไทย โคโคนัท" เร่งขยาย "ตลาดจีน" หลังมีเงินระดมทุน "เพิ่มศักยภาพ และขีดความสามารถ" สร้างการเติบโต พร้อมเล็งปั้นสินค้าตัวใหม่ หนุนรายได้โต 30% ต่อปี
บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน) หรือ COCOCO ผู้ประกอบการผลิต และส่งออกสินค้าแปรรูปจากมะพร้าว เช่น กะทิบรรจุกระป๋อง กะทิบรรจุกล่องยูเอชที (UHT) กะทิพาสเจอไรซ์ น้ำมะพร้าวบรรจุกระป๋อง น้ำมะพร้าวกล่องยูเอชที (UHT) น้ำมะพร้าวพาสเจอไรซ์ ขนมมะพร้าว และอาหารสำเร็จรูป ภายใต้ตราสินค้า “Thaicoco” และ “Cocoburi” รวมถึงการผลิตสินค้าเพื่อการอุตสาหกรรม ยังประกอบธุรกิจผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกเพื่อสุขภาพสำหรับสุนัข และแมว ภายใต้ตราสินค้า “Moochie”
ทั้งนี้ หุ้น COCOCO ถือเป็นหุ้นในกลุ่ม “ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม” ที่มีความเป็น “ผู้นำ” ด้านกะทิ และน้ำมะพร้าวรายใหญ่ของเมืองไทย และยังอยู่ในธุรกิจเมกะเทรนด์สุขภาพทั่วโลก !! โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากการจำหน่ายสินค้าในต่างประเทศเป็นหลักคิดเป็นกว่า 83.17%
ด้วย “จุดเด่น” ของหุ้น COCOCO นั่นคือ ที่มีฐานลูกค้าในต่างประเทศ 90 ประเทศทั่วโลก ! ซึ่งครอบคลุมทุกทวีปทั่วโลก ทั้งใน กลุ่มประเทศอเมริกาเหนือและใต้ , กลุ่มประเทศยุโรป , กลุ่มประเทศเอเชีย-แปซิฟิก , กลุ่มประเทศเอเชียใต้ , กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง , กลุ่มประเทศโอเชียเนีย และกลุ่มประเทศแอฟริกา ซึ่งมียอดขายมากกว่า 3,000 ล้านบาทต่อปี ของกลุ่มตระกูล “ชิ้นปิ่นเกลียว”
“ดร.วรวัฒน์ ชิ้นปิ่นเกลียว” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน) หรือ COCOCO ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า เติบโตมาจากครอบครัวลูกชาวไร่-ชาวสวน !! ในจังหวัดราชบุรี ซึ่งครอบครัวไม่ได้ร่ำรวย แต่ด้วยประสบการณ์ด้านการตลาด บวกกับความรู้ด้าน Food Science จึงตัดสินใจได้ลาออก มาเปิดบริษัทขนาดเล็ก และส่งกะทิขายให้กับบริษัทผู้ผลิตไอศกรีม และบริษัทผู้ผลิตอาหารหลายเจ้า... ก่อนที่ธุรกิจเติบโตก้าวกระโดดช่วง 15 ปีที่ผ่านมา หลังจากรัฐบาลผลักดัน นโยบาย “ครัวไทยสู่ครัวโลก”
การนำบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ครั้งนี้ ! ถือเป็น “การปลดล็อก” ด้านแหล่งเงินลงทุน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถสร้างการเติบโตของธุรกิจในอนาคต รวมทั้งยังจะได้เรื่องหน้าตา และความน่าเชื่อถือจากลูกค้าเต็มๆ มาตรฐานของบริษัทจะถูกยกระดับขึ้นทันที และที่สำคัญจะทำให้ธุรกิจมีการเติบโตอย่าง “ยั่งยืนระยะยาว"
ทั้งนี้ หลังจากบริษัทจะสามารถ “กำจัดข้อจำกัดการเติบโต” เชื่อว่าบริษัทจะมีการเติบโตอย่าง “โดดเด่น” ได้ในอนาคต สะท้อนผ่านเงินระดมทุน... หลังขายหุ้นไอพีโอ จะนำไป “ขยายกำลังผลิตผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว” มูลค่า 600 ล้านบาท โดยซื้อเครื่องจักร และอุปกรณ์เพื่อผลิตน้ำมะพร้าวเพื่อขยายกำลังผลิตน้ำมะพร้าว จากประมาณ 110,000 ตันต่อปี เป็น 218,000 ตันต่อปี คาดจะเริ่มทยอยติดตั้ง และทยอยเดินเครื่องได้ในช่วงพ.ย.2566
โดยปัจจุบันเริ่มเห็นมีคำสั่งซื้อล่วงหน้าทยอยเข้ามาแล้ว ประกอบกับสินค้าน้ำมะพร้าวเป็นสินค้าที่มี “อัตรากำไรขั้นต้น” สูงกว่าสินค้าประเภทกะทิ รวมถึงการขยายคลังสินค้าเพื่อรองรับการจัดเก็บผลิตภัณฑ์น้ำมะพร้าว
นอกจากนี้ “ขยายกำลังผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง” (TAS) มูลค่า 50 ล้านบาทโดยซื้อเครื่องจักร และอุปกรณ์เพื่อเพิ่มกำลังผลิตและขยายประเภทสินค้าในขนมกินเล่นของสุนัข และแมว และ “ขยายกำลังผลิตอาหารที่ทำจากพืช” (TPF) มูลค่า 50 ล้านบาท โดยซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อเพิ่มกำลังผลิตและขยายประเภทสินค้าในไอศกรีม
สำหรับแผนธุรกิจในช่วง 3-5 ปี (2566-2570) วางเป้าการเติบโตของรายได้เฉลี่ยระดับ 20-30% ต่อปี โดยการมุ่งเน้น “ขยายตลาดในต่างประเทศ” เป็นหลัก หากบริษัทต้องการสร้างการเติบโตต่อเนื่อง เพราะว่าตลาดต่างประเทศมีขนาดใหญ่กว่าตลาดในประเทศไทยมาก ยิ่งเฉพาะ “ตลาดจีน” ที่ปัจจุบันมียอดขายเติบโต “ก้าวกระโดด” และยังมี “ศักยภาพ” ของการเติบโตอีกมหาศาลในอนาคต
โดยพิจารณาจากผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ปี 2566 ที่บริษัทมีรายได้เติบโตจาก “ความต้องการ” (Demand) ตลาดจีนเพิ่มขึ้น สำหรับน้ำมะพร้าวและกำไรโดดเด่น โดยเป็นสิ่งที่จะสะท้อนถึงโอกาสการเติบโตในอนาคต ซึ่งในปัจจุบันบริษัทยังขยายตลาดในจีนเพียงแค่เมืองใหญ่ๆ เท่านั้น ยังมีตลาดรองที่ยังไม่ได้ขยายเข้าไปอีกมาก
“หากเราต้องการให้ธุรกิจเติบโตและมีขนาดใหญ่ขึ้น เราต้องมุ่งเน้นการสร้างยอดขายในต่างประเทศ เนื่องจากเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับในประเทศที่ตลาดมีขนาดเล็ก และยังมีโครงสร้างราคาที่ไม่แพง”
นอกจากอีกหนึ่งธุรกิจที่มองว่าเป็น “เมกะเทรนด์” นั่นคือ “ธุรกิจผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกเพื่อสุขภาพสำหรับสุนัข และแมว” ภายใต้ตราสินค้า Moochie โดยสินค้าทั้งสองประเภทมีทั้งแบบ การจำหน่ายภายใต้ตราสินค้าของบริษัทเอง และการรับจ้างผลิตสินค้า (OEM) รวมถึงการเป็นผู้ผลิต จัดจำหน่ายสินค้าอาหารเพื่อสุขภาพจากโปรตีนพืช และผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ชีส และเนยประเภทต่างๆ ที่ทำจากพืช
โดยบริษัทจะมีการขยายกำลังการผลิตเพิ่ม และขยายประเภทสินค้าในขนมกินเล่นของสุนัข และแมว เพื่อจำหน่ายในตลาดสหรัฐ-ยุโรป รองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศดังกล่าวในปี 2567 สอดคล้องกับพฤติกรรมของคนที่หันมาเลี้ยงสัตว์ไว้เป็นเพื่อนเพิ่มมากขึ้น โดย “มูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยง” คิดเป็นกว่า 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งบริษัทวางเป้าหมายใน 3 ปีข้างหน้า สัดส่วนรายได้จะเพิ่มเป็น 20% จากปัจจุบันอยู่ที่ 10%
ท้ายสุด “ดร.วรวัฒน์” บอกไว้ว่า การเข้าระดมทุนในครั้งนี้เป้าหมายเพื่อสร้างการเติบโตของธุรกิจให้ยั่งยืน สอดรับกับแผนธุรกิจที่ขยายกำลังผลิตน้ำมะพร้าว รุกธุรกิจอาหารที่ทำจากพืช และมองโอกาสเติบโตสู่ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่เป็นเทรนด์ของโลก
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์