เปิดเทรดวันแรกเหนือจอง TMAN ผู้นำเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ พื้นฐานแกร่ง สยายปีกสู่กลุ่มรพ.
ความเคลื่อนไหวหุ้นน้องใหม่ TMAN หรือ บริษัท ที.แมน ฟาร์มาซูติคอล จำกัด (มหาชน) เข้าเทรดวันแรก ณ วันที่ 22 ต.ค.2567 เวลา 10.00 น. บวก 17.79% หรือบวกเพิ่ม 2.90 บาท ระดับราคาอยู่ที่ 19.20 บาท จากราคา IPO 16.30 บาท
อทิตยา ชินะกาญจนดิษฐ์ นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ปีนี้ TMAN คาดกำไรปกติเติบโต 17% YoY เป็น 452 ล้านบาท โดยปัจจัยสนับสนุนการเติบโตที่สำคัญได้แก่ กลุ่มยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ จากผลิตภัณฑ์เดิมที่ได้รับความนิยมมากขึ้น และแผนขายยาสามัญใหม่แก่ลูกค้าโรงพยาบาล รวมถึง กลุ่มยาสมุนไพร จากความต้องการเพิ่มขึ้นและการออกผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ภายใต้แบรนด์เดิมที่ติดตลาดและได้รับการยอมรับแล้ว เช่น Propoliz และไอยรา ยาน้ำแก้ไอ
นอกจากนี้ ประชาชนมีการเข้าถึงสิทธิการรักษาของภาครัฐมากขึ้น และผู้ป่วยต่างชาติกลับมาใช้บริการสถานพยาบาลในไทยมากขึ้น
โดยคาดอัตรากำไรขั้นต้น หรือ GPM ที่ 50.8% +167bps YoY จากการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตยาแผนปัจจุบันและสมุนไพรส่งผลบวกต่อ Economy of scaleในขั้นตอนการผลิตแผนการเติบโตจากผลิตภัณฑ์ใหม่ และขยายฐานลูกค้าโรงพยาบาล หากพิจารณาอัตรากำไรสุทธิ หรื NPM ของ TMAN พบว่า สูงที่สุดในกลุ่มตั้งแต่ปี 2565 และต่อเนื่องยังปี 2566
ซึ่งบริษัทฯ มี NPM ปี 2566 อยู่ที่ 21.8% NPM เฉลี่ยของกลุ่มอยู่ที่ 10.6% โดยเทียบกับธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่จดทะเบียนในตลาด SET และ mai TMAN,MEGA, BLC, IP, JSP
ทั้งนี้ คาดบริษัทฯ จะสามารถรักษาระดับ NPM ปี 2567-2569 อยู่ที่ราว 20-21% ประเมินการเติบโตของกำไรปกติเฉลี่ย 5 ปี CAGR ที่ 11% จากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่โดยจะวางขาย 10 - 12 รายการ/ปี, ยาสามัญใหม่และขยายฐานลูกค้ากลุ่มโรงพยาบาล ที่มูลค่าการซื้อขายยาสูงถึง 80% ของตลาดยาทั้งหมด เพื่อขยายฐานรายได้ของบริษัทฯ
ราคาเป้าหมายที่ 24.75 บาท โดย TMAN มีกำไรปกติสะสมช่วงครึ่งปีแรกที่ 237 ล้านบาท +10% YoY) ซึ่งคิดเป็น 52% ของประมาณการทั้งปี 2567 ของหยวนต้าที่ 452 ล้านบาท +17% YoY และคาดเห็นการเติบโตทั้ง QoQ และ YoY ในทุกไตรมาสที่เหลือของปีประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 2567 ที่ 24.75 บาท อิงวิธี PER ที่ 21.9 เท่า
TMAN ถือเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจเวชภัณฑ์และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพอย่างครบวงจร โดยผลิตและจัดจำหน่ายเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพด้วยประสบการณ์ยาวนานกว่า 50 ปี ทั้งภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯและภายใต้แบรนด์ของบุคคลภายนอก ซึ่งปัจจุบัน 5 แบรนด์ที่เป็นแหล่งรายได้หลัก 45.9% ของรายได้จากการขายรวมปี 2566 มีกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยอมรับและเป็นที่นิยมของตลาด ได้แก่
กลุ่มผลิตภัณฑ์ภำยใต้แบรนด์ Propoliz บรรเทาอาการเจ็บคอ,แบรนด์ Vita-C, แบรนด์ ไอยรา ยาน้ำแก้ไอแก้เจ็บคอ, แบรนด์ Myda และแบรนด์ IBUMAN บรรเทาอาการปวด บริษัทมีจุดแข็งจาก R&D ของตัวเอง พร้อมวิจัยพัฒนายาสามัญใหม่เพื่อเจาะตลาดยาสิทธิบัตรใกล้หมดอายุได้ไว และคิดค้นนวัตกรรมเพื่อสุขภาพเพื่อต่อยอดความแข็งแกร่งของแบรนด์
กลยุทธ์ทางการตลาดแข็งแกร่ง เจาะเข้าถึงและมีตัวตนในกลุ่มลูกค้าเป้าหมายและผู้บริโภค และบริษัทฯ กระจายสินค้าเอง เนื่องจากมีทรัพยากรที่เพรียบพร้อม มีการตลาดที่แข็งแกร่ง และมีทีมเจ้าหน้าที่ขายที่มีความเชี่ยวชาญในการเข้าถึงลูกค้าแต่ละกลุ่ม ส่งผลให้กลุ่มบริษัทฯ สามารถนำเสนอสินค้าได้ตรงความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประพล ฐานะโชติพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที.แมน ฟาร์มาซูติคอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่มบริษัท วางเป้าหมายก้าวสู่ผู้นำนวัตกรรมสุขภาพ ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคนให้ดียิ่งขึ้น ผ่านการวางกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ได้แก่
1) มุ่งเน้นสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างและได้รับการยอมรับ
2) ขยายฐานลูกค้ากลุ่มลูกค้าโรงพยาบาล ห่วงโซ่ขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมยา
3) พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและมีคุณภาพเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบถ้วน
4) เพิ่มสัดส่วนธุรกิจรับจ้างผลิต (OEM/ODM) 5) เพิ่มสัดส่วนธุรกิจรับจัดจำหน่าย 6) เพิ่มการเติบโตของรายได้จากการขยายการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในต่างประเทศ 7) สรรหาบุคลากรสำคัญที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อรองรับการดำเนินงานในอนาคต 8) ขยายกำลังการผลิตและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต
“การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเปิดโอกาสให้ TMAN เพิ่มขีดความสามารถวิจัยและพัฒนาเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของกลุ่มบริษัทให้รวดเร็วและควบคุมต้นทุนได้ดียิ่งขึ้น และช่วยเพิ่มกำลังการผลิต ตลอดจนยกระดับมาตรฐานการผลิตเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพให้ดียิ่งขึ้น ผ่านการลงทุนเครื่องจักรที่มีเทคโนโลยีทันสมัย ซึ่งจะเปิดโอกาสให้กลุ่มบริษัทขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศได้อย่างรวดเร็ว และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันเพื่อเติบโตอย่างยั่งยืน”