EGCO-BGRIM ลั่นแสวงหาโอกาส “ซื้อกิจการ” ใหม่ๆ เพื่อต่อยอดธุรกิจโต
“ผลิตไฟฟ้า” ลุ้นสิ้นปีนี้ปิดดีลซื้อโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ 1 แห่ง พร้อมคงงบลงทุน 3 หมื่นล้าน เน้นเสริมแกร่งในธุรกิจไฟฟ้า แย้มเล็งทยอยลงทุนเพิ่มใน Apex ถึงปี 70 ด้วยวงเงิน 1.3 หมื่นล้าน ด้าน “บีกริม” คาดครึ่งหลังได้ประโยชน์ปรับค่า “เอฟที” เสริมกำไรโต
นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาเข้าซื้อกิจการ (M&A) โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ 1 แห่ง ซึ่งยื่นเสนอราคาไปแล้ว คาดมีความชัดเจนภายในสิ้นปี 2565 โดยบริษัทยังคงงบลงทุนปีนี้ อยู่ที่ 30,000 ล้านบาท เน้นเสริมความแข็งแกร่งในธุรกิจไฟฟ้า แสวงหาโอกาสสร้างการเติบโตตามทิศทางพลังงานโลก ซึ่งตามแผนจะลงทุนใน บริษัท เอเพ็กซ์ คลีน เอ็นเนอร์ยี โฮลดิ้ง (Apex) ราว 1.3 หมื่นล้านบาท โดยทยอยลงทุนไปจนถึงปี 2570
ส่วนแนวโน้มผลประกอบการครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้นจากครึ่งปีแรก เนื่องจากมีโรงไฟฟ้าใหม่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) เพิ่ม ได้แก่ โรงไฟฟ้าน้ำเทิน 1 ใน สปป.ลาว รวมถึงการทยอยเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้าหยุนหลินในไต้หวัน กำลังการผลิตตามสัดส่วนถือหุ้น 72 เมกะวัตต์ และผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพาจู ซึ่งโครงการนี้จะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นอีกครั้งในไตรมาส 4 ปี 2565 จึงรอดูว่าผลกำไรจะดีเหมือนไตรมาส 1 ปี 2565 หรือไม่
สำหรับ ในปี2565 บริษัทวางเป้าโรงไฟฟ้า CODเพิ่ม กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 284 เมกะวัตต์ ส่วนปี2566 เพิ่ม 234 เมกะวัตต์ และปี2567 เพิ่มอีก 483 เมกะวัตต์ ซึ่งโครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สถานีปลายทางขอนแก่น คาดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ ปลายไตรมาส 3 ปี 2565 และรับรู้รายได้ปีนี้ 300 ล้านบาท
อนึ่ง เมื่อเดือน พ.ย.64 EGCO ได้แจ้งการเข้าลงทุนทางอ้อมโดยเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 17.46% ใน Apex เป็นบริษัทพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนเอกชนขนาดใหญ่ในสหรัฐ เริ่มตั้งแต่การก่อสร้างโครงการ การเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ และการขายโครงการที่พัฒนา
นางสาวศิริวงศ์ บวรบุญฤทัย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่-การเงินและบัญชี บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่า ครึ่งปีหลัง 2565 บริษัทคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการปรับขึ้นของค่าไฟฟ้าตามสูตร (ค่า Ft) โดยคาดรายได้จากการขายไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นหลังรัฐ ซึ่งในเดือนก.ย.-ธ.ค. 2565 ซึ่งกกพ. ได้ประกาศปรับขึ้นอีก 0.6866 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง เป็น 0.9343 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง โดยมีสาเหตุหลักมาจากการปรับเพิ่มของราคาพลังงานโลก ดังนั้น ผลดำเนินงานครึ่งปีหลังฟื้นตัวจากครึ่งปีแรก
ทั้งนี้ในไตรมาส 3 ปี 2565 คาดมีรายได้จากการขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น และโครงการใหม่ทยอยเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว แต่ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามในเรื่องค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง จากต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวสูงขึ้นและค่อนข้างผันผวนมาก ทำให้อาจจะมีกระทบแนวโน้มกำไรในไตรมาส 3-4 ปีนี้ได้
สำหรับแนวทางการบริหารจัดการต้นทุน จากราคาก๊าซธรรมชาติที่สูงขึ้น โดย บี.กริม เพาเวอร์ มีเป้าหมายจะเริ่มนำเข้า LNG ในต้นปี 2566 เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการต้นทุนก๊าซธรรมชาติ โดยเฉพาะใช้สำหรับกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมเป็นหลัก และโครงการโรงไฟฟ้า SPP ใหม่เพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าเดิม และโรงไฟฟ้า SPP โรงอื่น ทั้งนี้ ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ลงนามสัญญา Terminal Usage Agreement กับ PTT LNG เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ส่วน การลงทุนโครงการใหม่ๆ เพิ่มเติม ปัจจุบันบริษัทยังมองหาโอกาสการซื้อกิจการ (M&A) อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการหนุนการเติบโตในอนาคต ซึ่งปีนี้ตั้งเป้าจะได้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าใหม่ (PPA) ราว 1,000 เมกะวัตต์ (MW) ในช่วงที่เหลือของปีนี้มีโอกาสได้เพิ่มเติมเข้ามาในบางส่วน