‘ดับบลิวเอชเอ’เนื้อหอมปิดดีล“บีวายดี”ยักษ์อีวีจีน
“ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า” กำลังบูมสุดๆ ถือเป็นเทรนด์ใหม่ที่มาแรง เพราะเป็นต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดภาวะโลกร้อนรวมถึงปัญหาฝุ่นละออง
โดยประเทศไทยตั้งเป้าปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปีค.ศ. 2065 หรือ ปีพ.ศ. 2608 ผ่านการดำเนินงานตามแผนพลังงานแห่งชาติ ทั้งการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน การหันมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาเพิ่มประสิทธิการใช้พลังงานให้คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น
สำหรับการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) ได้ออกนโยบาย 30@30 โดยตั้งเป้าผลิตยานยนต์ไฟฟ้าให้ได้ 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดภายในปี ค.ศ. 2030 หรือ พ.ศ. 2573 เพื่อผลักดันให้ไทยก้าวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) และกลายเป็นฮับอีวีของภูมิภาค
โดยที่ผ่านมาภาครัฐได้ออกมาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ทั้งการลดภาษีนำเข้า ภาษีสรรพสามิต รวมทั้งให้เงินอุดหนุนเพื่อเป็นส่วนลดในการซื้อรถอีวีคันละ 18,000 - 150,000 บาท โดยมีข้อแม้ว่าค่ายรถที่สนใจต้องมาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย
ซึ่งขณะนี้มีค่ายรถยนต์และจักรยานยนต์เข้าร่วมโครงการแล้ว 7 ค่าย ได้แก่ เอ็มจี, เกรท วอลล์ มอเตอร์, โตโยต้า มอเตอร์, ไมน์ โมบิลิตี, กรีน ฟิวเตอร์ ส่วนอีก 2 ค่าย ได้แก่ เดโก้ กรีน และ เอช เซม มอเตอร์ อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์
ถือว่าเวลานี้เมืองไทยกำลังเนื้อหอม ล่าสุดมีอีกหนึ่งค่ายรถยนต์ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่แดนมังกร “บีวายดี” (BYD) เตรียมยกฐานการผลิตบุกเมืองไทย มีแผนตั้งโรงงานผลิตรถอีวีแห่งแรกในภูมิภาคอาเซียนที่จังหวัดระยอง
โดยมีกระแสข่าวว่า บริษัทได้บรรลุข้อตกลงเพื่อเข้าร่วมโครงการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจะมีการเซ็นเอ็มโอยูอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 ก.ย. นี้
ซึ่งสอดคล้องกับบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA ผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ของประเทศ ร่อนจดหมายถึงสื่อมวลชนเชิญเข้าร่วมงานแถลงข่าวพิธีลงนามซื้อขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมระยอง 36 เพื่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าระหว่าง WHA และบริษัท บีวายดี ออโต้ อินดัสทรี จํากัด ในวันที่ 8 ก.ย. นี้ หลังก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวลือออกมาสักระยะแล้ว
โดยผู้บริหารของ WHA เคยออกมาระบุว่า อยู่ระหว่างเจรจาขายที่ดินให้กับลูกค้ารายใหม่จากประเทศจีน และล่าสุดได้ปรับเพิ่มเป้าหมายยอดขายที่ดินปี 2565 เป็น 1,650 ไร่ แบ่งเป็นในไทย 1,400 ไร่ และเวียดนาม 250 ไร่ จากเดิมวางเป้าหมายไว้ 1,250 ไร่ หลังครึ่งปีแรกปิดดีลขายที่ไปแล้วทั้งหมด 513 ไร่
ขณะที่แนวโน้มยอดขายที่ดินในช่วงที่เหลือของปีนี้คาดว่ายัังขยายตัวต่อเนื่อง หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายทำให้ผู้ประกอบการเริ่มทยอยกลับมาลงทุนมากขึ้น
ขณะเดียวกันความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐที่ตึงเครียดขึ้น ทำให้มีการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนมายังภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น ซึ่งประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายของนักลงทุนจากทั่วโลก
ด้านบล.ดาโอ ระบุว่า ได้ปรับประมาณการกำไรปกติปี 2565 ขึ้น 1% เป็น 2.8 พันล้านบาท ทรงตัว YoY และปี 2566 ขึ้น 6% เป็น 3.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% YoY หลังมีการปรับเพิ่มยอดขายที่ดินเป็น 1,650 ไร่ จากเดิม 1,250 ไร่ สะท้อนการกลับมาลงทุนของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่ใช่ประเทศจีน
ทั้งนี้จะเห็นว่าตั้งแต่เกิดความไม่สงบระหว่างประเทศ ทำให้มีการย้ายฐานการผลิต (relocation) มายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น
โดยขณะนี้ผู้ประกอบการธุรกิจรถอีวีจีนหลายรายสนใจเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้นจากผลประโยชน์ทางภาษี ซึ่งจะเป็นรูปแบบคลัสเตอร์ EV supply chain หรือ EV hub ส่วนกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์สนใจลงทุนในเวียดนามมากขึ้นตามการลงทุนของแอ๊ปเปิ้ล ซึ่งบริษัทจะได้รับอานิสงส์ไปด้วย เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีลูกค้าเป็นกลุ่มซัพพลายเออร์ของแอ๊ปเปิ้ลอยู่แล้ว
ส่วนธุรกิจโลจิสติกส์ยังเติบโตดีต่อเนื่องจากความต้องการที่สูงขึ้น ทำให้บริษัทมีการพัฒนาโครงการ Built-to-Suit บนพื้นที่เทพารักษ์เฟส 2 เร็วขึ้น โดยครึ่งปีแรกมีลูกค้าเช่าพื้นที่ใหม่สุทธิ 9.8 หมื่นตร.ม. คิดเป็น 53% ของเป้าทั้งปีที่ 1.85 แสนตร.ม.
ขณะที่ธุรกิจน้ำยังขยายตัวตามแผน โดยคงเป้ายอดขายน้ำปีนี้ 150 ล้านลูกบาศก์เมตร ด้านธุรกิจไฟฟ้ายังได้รับผลกระทบจากต้นทุนราคาก๊าซที่เพิ่มขึ้น