BYD เล็งต่อรองขอส่วนลด “บัสอีวี” ลุ้นรัฐหนุนโรงงานแบตฯ
“บียอนด์” จ่อเจรจาขอลดราคารถบัสอีวี หากผู้ประกอบการโรงงานแบตเตอรี่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐ พร้อมเดินหน้าขยายรถ เพิ่ม หลังได้รับเงินเพิ่มทุน 9.2 พันล้าน คาดปีนี้ รับมอบรถบัสไฟฟ้าปี 900 คัน
ความเคลื่อนไหวราคาหุ้นกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และแบตเตอรี่ วานนี้ (13 ก.ย.) มีแรงเก็งกำไรเข้ามาคึกคัก โดยเฉพาะกลุ่ม บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ หรือ EA โดย ราคาหุ้น EA ปรับตัวขึ้น 3.42% ราคาหุ้นบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บียอนด์ หรือ BYD ปรับตัวขึ้น 8.66% และราคาหุ้น บริษัท เน็กซ์ พอยท์ หรือ NEX ปรับตัวขึ้น 4.28% ลุ้นประชุมคณะอนุกรรมการในการส่งเสริมการผลิตและการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเรื่องเงินสนับสนุนผู้ผลิตแบตเตอรี่ยานยนต์อีวี หากผลิตแบตเตอรี่ 1 กิกะวัตต์ มีโอกาสได้รับเงินช่วยเหลือสูงถึง 600 ล้านบาท
นางสาวออมสิน ศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บียอนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BYD เปิดเผยว่า หากมีการสนับสนุนผู้ผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถอีวีนั้น บริษัทจะนำเรื่องดังกล่าวไปขอต่อรองราคาแบตเตอรี่รถบัสอีวีกับผู้ประกอบการในอนาคต
สอดคล้องเป้าหมายตั้งเป้า 3 ปี (65-67) ธุรกิจเดินรถจะมากกว่าธุรกิจหลักทรัพย์ เนื่องจากจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการลงทุนผ่านบริษัทร่วม บริษัท เอช อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (ACE) ซึ่ง ACE ถือหุ้น 100% ในกิจการให้บริการขนส่งมวลชนสาธารณะด้วยรถบัสไฟฟ้า บริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด (TSB) ปัจจุบันบริษัทย่อยในกลุ่มของ TSB ได้ให้บริการขนส่งมวลชนด้วยรถประจำทางไฟฟ้าแล้ว 8 สาย จำนวนทั้งสิ้น 112 คัน และกำลังสั่งซื้อรถบัสไฟฟ้าเพิ่มเพื่อให้บริการภายในปีนี้อีก 96 คัน คาดปีนี้ส่งมอบรถอีบัส 900 คัน
โดยเมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา TSB ยังได้รับคัดเลือกจากกรมการขนส่งทางบกให้เป็นผู้ให้บริการเพิ่มขึ้นอีก 71 สาย จึงอยู่ระหว่างเตรียมการสั่งซื้อรถบัสไฟฟ้าเพื่อจะนำมาให้บริการตั้งแต่เดือน พ.ย. 2565 อย่างน้อย 758 คัน
นอกจากนั้น TSB มีแผนลงทุนเช้าซื้อกิจการ บริษัท อี ทรานสปอร์ต โฮลดิง จำกัด (ETH) จากบริษัท อีเอ โมบิลิตีโฮลดิง จำกัด (EMH) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) ถือหุ้น 100% ทั้งนี้ เพื่อขยายเส้นทางการให้บริการรถโดยสารประจำทางแบบ Smart Bus อีก 37 เส้นทาง รวมทั้งให้บริการเรือโดยสารไฟฟ้าในแม่น้ำเจ้าพระยาและเรือท่องเที่ยวไฟฟ้าผ่าน E Smart Transport มูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท
นางสาวออมสิน กล่าวว่า กำลังเจรจาซื้อหุ้น EXA (เจ้าของใบอนุญาตเดินรถโดยสารประจำทาง 2 เส้นทาง) และ RJR (เจ้าของใบอนุญาตเดินรถโดยสารประจำทาง 4 เส้นทาง) มูลค่า 190 ล้านบาท, จ่ายค่าซื้อ E Bus บางส่วน มูลค่ารวม 2,000 ล้านบาท, สร้างอู่จอดรถ สำนักงาน และงานดูแลรักษา มูลค่า 100 ล้านบาท, ลงทุนในระบบ Single network รถ-เรือ มูลค่า 200 ล้านบาท และเป็นเงินสำรอง หรือเงินทุนหมุนเวียนอีก 60 ล้านบาท
ปัจจุบัน TSB อยู่ระหว่างจัดหา E Bus เพิ่มเติม โดยประเมินราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท/คัน ซึ่งจะมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 6,000 ล้านบาท ซึ่งจะรวมทั้ง 8 สายเดิมที่กลุ่ม TSB ให้บริการอยู่ ซึ่งต้องเพิ่มจำนวนรถอีก 96 คัน , 71 สายใหม่ของ TSB ที่ต้องเพิ่มจำนวนรถอีก 758 คันภายในปีนี้, 2 สายของ EXA จำนวน 19 คัน และ 4 สายของ RJR จำนวน 23 คัน รวมเป็นเกือบ 900 คันที่จะซื้อภายในปีนี้ ซึ่งบริษัทมั่นใจว่าจะได้รับมอบรถบัสไฟฟ้าเข้ามาตามเป้าหมายที่วางไว้ และส่งผลให้จะมีรถบัสไฟฟ้ารวมทั้งสิ้นกว่า 3,000 คัน
“ประมาณการรายได้รถบัสไฟฟ้าเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 6,000 บาทต่อคันต่อวัน คาดว่าในระยะ 3 ปี สัดส่วนรายได้จากธุรกิจเดินรถก็จะมากกว่าธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์”
โดยบริษัทได้รับเงินค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนจากการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัด (PP) รวม 1,313,000,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 7.062 บาท มูลค่ารวมกว่า 9,272 ล้านบาท ครบถ้วนเรียบร้อยแล้ววานนี้ คาดหุ้นสามัญเพิ่มทุนจะสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ภายในก.ย.นี้