โบรกชี้ "ขึ้นค่าแรง" กดดันกำไร หุ้นกลุ่มรับเหมา-ค้าปลีก

โบรกชี้ "ขึ้นค่าแรง" กดดันกำไร หุ้นกลุ่มรับเหมา-ค้าปลีก

โบรก  เผยครม.เคาะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ หนุน หุ้น “ไฟแนนซ์” เหตุลูกหนี้มีความสามารถชำระหนี้ในไตรมาส 4  และ“กลุ่มแบงก์ใหญ่” คาดกำไรเพิ่ม 6-8%  แต่กดดันหุ้น “กลุ่มรับเหมา”และ "กลุ่มค้าปลีก" สินค้าฟุ่มเฟือย กำไรลด3%  

วานนี้ (13 ก.ย.)  ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ประจำปี 2565 ตามที่คณะกรรมการค่าจ้าง และกระทรวงแรงงานได้มีการพิจารณาและเสนอ ครม.เห็นชอบโดยเป็นการปรับขึ้นประมาณ 5% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2565 เป็นต้นไป 

นายกรรณ์ หทัยศรัทธา นักกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า การปรับขึ้นค่าแรกขั้นต่ำ เป็นบวกต่อหุ้น 2 กลุ่ม ที่ได้ประโยชน์  คือ "กลุ่มการเงิน และ กลุ่มธนาคารพาณิชย์"  เพราะ  จะช่วยเพิ่มความสามา่รถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ในไตรมาส4 ปีนี้  

หุ้นกลุ่มการเงินที่ได้ประโยชน์ ได้แก่  

  1. MTC
  2. SAWAD
  3. TIDLOR
  4. AMANAH
  5. ASK
  6. MICRO
  7. SINGER
  8. THANI 

รวมถึงค่าแรงที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ 5% จะเพิ่มอัพไซด์ต่อ เงินเฟ้อของไทยราวๆ 0.15% คาดจะเป็นแรงหนุนให้  คณะกรรมการนโยบายการเงิน ( กนง.)นำมาพิจารณาในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นมองเป็นบวกต่อ “กลุ่มธนาคารขนาดใหญ่” เพราะ การขึ้นดอกเบี้ยทุก 0.25% จะหนุนกำไรสุทธิของธนาคารใหญ่เพิ่มขึ้น 6-8% และจะเป็นอัพไซด์ต่อกำไรปี 2566 ของธนาคารขนาดใหญ่ เช่น BBL, KTB, SCB เพิ่มขึ้น 7%, BAY เพิ่มขึ้น 5%, TTB และ KKP เพิ่มขึ้น 1% ขณะที่ TISCO ลดลง 2% โดยหุ้นเด่นกลุ่มนี้ แนะนำ BBL, SCB

ส่วนหุ้นที่ได้ปรับผลกระทบ  2  กลุ่มที่เสียประโยชน์  คือ กลุ่มรับเหมาเนื่องจากการปรับขึ้นค่าแรง จะกระทบต่อบริษัทรับเหมาที่มีมูลค่าแบ็กล็อกสูง อาทิ STEC รองลงมาคือ CK  โดยการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทุกๆ 1% กระทบประมาณการกำไรของกลุ่มผู้รับเหมาปี 2566 คือ STEC 3.16% ,CK2.22%, SEAFCO2.17%และ PYLON 1.21% ตามลำดับ  

โดยอีกกลุ่มทีไ่ด้รับผลกระทบคือ “กลุ่มค้าปลีก”  เราได้ทำการวิเคราะห์ความอ่อนไหว (sensitivity analysis) ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำต่อบริษัทค้าปลีก 7 แห่ง  โดยการปรับขึ้นค่าแรง 10% (จากข่าวคาดจะปรับขึ้น 5-8%) ส่งผลกระทบเชิงลบ ต่อกำไรของกลุ่มทั้งหมด 1-3%

โดยบริษัทค้าปลีกสินค้าตกแต่งบ้าน อย่าง DOHOME GLOBAL คาดกำไรจะลดลง 1% จากการปรับขึ้นค่าแรงน้อยกว่าผู้ค้าปลีกสินค้าจำเป็นและสินค้าฟุ่มเฟือยรายอื่น ๆ เช่น BJC CPALL CRC และ MAKRO ที่คาดว่าจะกระทบต่อกำไรประมาณ 3%

อย่างไรก็ตามค่าแรงขั้นต่ำน่าจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อและส่งผลกระทบเชิงบวกทางอ้อมต่อยอดขายบริษัทค้าปลีกในไทย แนะลงทุน CPALL ราคาเป้าหมาย 73.60 บาท จากแนวโน้มยอดขายและกำไรที่จะดีขึ้นต่อเนื่องจากการเปิดเมือง นักท่องเที่ยวที่ทยอยเข้ามามากขึ้น ราคาน้ำมันที่ทยอยปรับลดลง และการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ