"เบทาโกร" รุกขยายธุรกิจต่างประเทศ ดันรายได้โต
"เบทาโกร" รุกสยายปีกสู่ต่างประเทศ เล็งนำเงินระดมทุนขยายธุรกิจ ดันรายได้โตก้าวกระโดด คาด “หุ้นไอพีโอ” เข้าเทรดไตรมาส 4 ปี 65
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า “อาหาร” คือ หนึ่งในปัจจัย 4 ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันของมนุษย์ ! และกำลังส่งผลบวกต่อหุ้นไอพีโอน้องใหม่อย่าง บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG ผู้ประกอบธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจรรายใหญ่ โดยเตรียมเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ซึ่งจะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 500 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 5.0 บาทต่อหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 25% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด คาดเข้าซื้อขายวันแรก (เทรด) ภายในไตรมาส 4 ปี 2565
“เบทาโกร” ก้าวสู่ทศวรรษที่ 6 โดยเป้าหมายขององค์กรแห่งนี้ ! เพื่อเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำ ด้วยการสร้างการเติบโตใหม่ครั้งใหม่... ในฐานะ “บริษัทมหาชน” แม่ทัพใหญ่อย่าง “วสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG เล่าให้ “กรุงเทพธุรกิจ” ฟังว่า การนำบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ! จะไม่ได้ประโยชน์เพียงแค่มีช่องทางการหาเงินทุนมากขึ้น แต่จะได้เรื่องหน้าตา และมาตรฐานของบริษัทจะถูกยกระดับขึ้นทันที ที่สำคัญยังสามารถสร้างแบรนด์ และลงทุนในธุรกิจอาหารใหม่ๆ เพิ่มอีกด้วย และสร้างโอกาส New S-Curve เพื่อเป้าหมายเป็นบริษัทชั้นนำ
โดยบริษัทมีเป้าหมายการเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นในครั้งนี้ ! เพื่อปลดล็อก และสร้างการเติบโตอย่างโดดเด่น สะท้อนผ่านเงินระดมทุนนำไปขยายธุรกิจประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1.เป็นเงินทุนในการซื้อ ก่อสร้างฟาร์ม โรงงานใหม่ เช่น การลงทุนในโรงงานอาหารสัตว์ฟาร์ม โรงชำแหละสัตว์ การลงทุนในโรงงานอาหารสัตว์ฟาร์ม และโรงชำแหละสัตว์ในประเทศกัมพูชา ,สปป. ลาว และ เมียนมา เป็นต้น 2.ชำระหนี้ระยะสั้น และระยะยาว และ 3.ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
“การระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น เชื่อว่าจะช่วยเร่งให้เราปรับตัว และเพิ่มขีดความสามารถ และศักยภาพการเติบโตได้รวดเร็วขึ้น ในช่วงที่ผ่านมาเรามีอัตราการโตเฉลี่ย 10%อย่างต่อเนื่อง ยกเว้นช่วงสถานการณ์โควิด 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีการเติบโตเฉลี่ยระดับ 6-7%”
โดย ณ ปัจจุบัน BTG แบ่งธุรกิจหลักของบริษัท ออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มธุรกิจเกษตร ผลิต และจำหน่ายอาหารสัตว์ ผลิตภัณฑ์และเวชภัณฑ์และสารเสริมสำหรับสัตว์ อุปกรณ์และเครื่องมือฟาร์ม รวมถึงการให้บริการห้องปฏิบัติการ 2. กลุ่มธุรกิจอาหารและโปรตีน ผลิตและจำหน่ายเนื้อหมู เนื้อไก่ ไข่ไก่ และปลา การแปรรูปเนื้อสัตว์เป็นผลิตภัณฑ์ปรุงสุก ผลิตภัณฑ์กึ่งปรุงสุก ผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทาน ผลิตภัณฑ์พลอยได้ และโปรตีนทางเลือก
3. กลุ่มธุรกิจต่างประเทศ ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์การเกษตร อาหารสัตว์ การเพาะพันธุ์สัตว์ ผลิตภัณฑ์เวชภัณฑ์ และสารเสริมสำหรับสัตว์ อุปกรณ์ฟาร์ม และผลิตภัณฑ์อาหาร รวมถึงเนื้อหมู เนื้อไก่ ไข่ไก่ และเนื้อสัตว์แปรรูป อาหารแปรรูป โดยประกอบธุรกิจในกัมพูชา ลาว เมียนมา และ4. กลุ่มธุรกิจสัตว์เลี้ยง ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยง ขนมขบเคี้ยวสัตว์เลี้ยง และผลิตภัณฑ์ดูแลสัตว์เลี้ยง
“วสิษฐ” บอกต่อว่า บริษัทมีเป้าหมายธุรกิจมุ่งเน้นนำสัตว์เป็นมาแปรรูปเป็นสินค้าปลายทางเป็น “อาหาร-สร้างแบรนด์-ช่องทางการจัดจำหน่าย” ซึ่งธุรกิจในกลุ่มอาหารถือว่าทิศทางยังเติบโตได้อีก “มหาศาล” เนื่องจากกลุ่มอาหารยังขยายตลาดทั้งในธุรกิจเดิมและขยายออกสู่กลุ่มอาหารในรูปต่างๆ ได้อีกหลากหลายโปรดักส์ที่เป็นเทรนด์ของโลก ซึ่งในเมืองไทยถือว่าบริษัทประสบความสำเร็จระดับหนึ่งแล้ว
ดังนั้น บริษัทกำลังขยายโมเดลธุรกิจดังกล่าวออกสู่ “ต่างประเทศ” มากขึ้นจากปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 5% เท่านั้น สะท้อนผ่านบริษัทกำลังศึกษากลับเข้าไปลงทุนใหม่ในประเทศเมียนมาอีกครั้งหลังจากระงับการลงทุนไปเมื่อ 3 ปีก่อน หลังเมียนมามีปัญหาการเมืองภายในประเทศ ซึ่งปัจจุบันบริษัทกำลังดูรูปแบบการลงทุนร่วมกับ “พาร์ตเนอร์” จะลงทุนเช่นไร คาดว่าปี 2566 จะมีความชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้นบริษัทได้รับใบอนุญาต (ไลเซนส์) ลงทุนโรงงานอาหารสัตว์ และฟาร์มเลี้ยงพ่อพันธุ์แม่พันธุ์แล้ว รวมทั้งได้ไลเซนส์การดำเนินธุรกิจซื้อมาขายไป (เทรดดิ้ง) ดังนั้น บริษัทสามารถนำสินค้าเข้าไปจำหน่ายได้ทันที และทั้งสองไลน์เซนส์จะดำเนินการร่วมกับพาร์ตเนอร์
ขณะที่ในประเทศกัมพูชา บริษัทจะมีการลงทุนสร้างโรงงานอาหารสัตว์ ส่วน สปป.ลาว จะลงทุนโรงงานสัตว์และแปรรูป คาดว่าจะมีความชัดเจนและก่อสร้างในต้นปี หรือกลางปีหน้า และเดินเปิดดำเนินการได้ในกลางปีหรือปลายปี 2567 ซึ่งปัจจุบันทั้ง 2 ประเทศ บริษัทมีช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าอยู่แล้ว
ทั้งนี้ BTG ในประเทศไทย บริษัทมีแผนที่จะสร้างโรงงานอาหารสัตว์แห่งใหม่และปรับปรุงโรงงานอาหารสัตว์ที่มีการดำเนินการอยู่เดิม เพื่อขยายกำลังการผลิตอาหารสัตว์ให้ถึง 5.5 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2569รวมถึงมีแผนสร้างโรงชำแหละแห่งใหม่เพื่อขยายกำลังการผลิตสุกรเป็น 4.8 ล้านตัวต่อปี ภายในปี 2569 เช่นเดียวกัน
ด้านไก่มีแผนขยายกำลังการผลิตของโรงชำแหละไก่เนื้อรวมเป็น 270 ล้านตัวต่อปี เพิ่มกำลังการผลิตอาหารแปรรูปเป็น 149,000 ตันต่อปี เพิ่มกำลังการผลิตสัตว์แปรรูปของบริษัทเป็น 74,000 ตันต่อปี และขยายกำลังการผลิตไข่ไก่ทั้งหมดของบริษัทเป็น 1,700 ล้านฟองต่อปี ภายในปี 2569
สำหรับ ผลิตภัณฑ์ที่วางขายภายใต้แบรนด์ของบริษัท ประกอบด้วย แบรนด์ BETAGRO และ S-Pure สำหรับเนื้อสัตว์อนามัย เนื้อสัตว์แปรรูป และอาหารแปรรูป , แบรนด์ ITOHAM ผลิตภัณฑ์ไส้กรอกเกรดพรีเมียม , แบรนด์ betagro Balance และ MASTER ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ แบรนด์ Better Pharma และ Nexgen ผลิตภัณฑ์เวชภัณฑ์และสารเสริมสำหรับสัตว์
ท้ายสุด “วสิษฐ” บอกไว้ว่า เรายังได้จัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา ศูนย์นวัตกรรมการเกษตร ศูนย์นวัตกรรมอาหาร และศูนย์นวัตกรรมสัตว์เลี้ยงเพื่อปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ และเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) และประสิทธิภาพการดำเนินงาน (Operating Efficiency) ของบริษัทให้สร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์