"พริมามารีน" เดินหน้าขยายกองเรือเพิ่ม
“พริมามารีน” คาดผลดำเนินงานครึ่งปีหลัง 65 เติบโตกว่าครึ่งปีแรก หลังขยายกองเรือใหม่ 3 ลำ -อัตราการใช้เรือฟื้นตัว ดันรายได้ปีนี้โต10%จากปีก่อน พร้อมเดินหน้าขยายกองเรือเพิ่ม -ศึกษาซื้อกิจการเพิ่ม หนุนโตระยะยาว
นายบวร วงศ์สินอุดม ประธานกรรมการ บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานครึ่งปีหลัง 2565 จะเติบโตจากครึ่งปีแรก ที่มีรายได้ 3,211.67 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 472.34 ล้านบาท เนื่องจาก บริษัทมีการขยายกองเรือเพิ่มขึ้นอีก 3 ลำ ซึ่งใช้เงินลงทุนรวม 1,896 ล้านบาท ซึ่งเรือ VLCC ลำที่ 2 เริ่มให้บริการ 5 มิ.ย. 2565 , เรือ AWB ลำที่ 2 ที่เริ่มให้บริการ 16 มิ.ย. 2565 และ เรือ VLCC ลำที่ 3 เริ่มให้บริการ 9 ก.ย. 2565 Utilization ของ Crew Boat 13 ลำ จะเพิ่มจาก 83% ใน 6 เดือนแรกเป็น 100%
รวมถึงในไตรมาส 3 ปี 2565 บริษัทเตรียมบันทึกกำไรจากการขายเรือ VLCC จำนวน 1 ลำ มูลค่าหลักพันล้านบาท โดย ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2565 บริษัทมีกองเรือทั้งหมด 59 ลำ
ขณะที่ เป้าหมายรายได้ในปีนี้บริษัทยังคงเป้าเติบโต 10% จากปีก่อน ที่มีรายได้ 6,471.61 ล้านบาท เนื่องแต่ละกลุ่มเรือขยายตัวเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะเรือขนส่งและจัดเก็บปิโตรเลียมลอยน้ำ (FSU) ที่เริ่มกลับมาฟื้นตัวแล้ว จะหนุนอัตรากำไรงวดปี 2565เพิ่มขึ้น
" บริษัทไม่ได้จำกัดตัวเองในการเติบโตในประเทศ แต่มองเห็นโอกาสในการเติบโตต่างประเทศ โดยบริษัทมองการขยายกลุ่มลูกค้าขนส่งระหว่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากตลาดต่างประเทศมีขนาดใหญ่ พร้อมเดินหน้าขยายกองเรือเพิ่ม และศึกษาซื้อกิจการต่อเนื่อง"
นายบวร กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจช่วง 2 ปีที่ผ่านมา นับเป็นความท้าทายเชิงบริหารจัดการพอร์ตกองเรือเพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 และความเสี่ยงจากราคาน้ำมันที่มีความผันผวนเป็นอย่างมาก โดยบริษัทได้นำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ
ในฐานะที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม พร้อมหลักการบริหารจัดการที่มีความยืดหยุ่นเพื่อบริหารพอร์ตกองเรือที่มีความหลากหลาย ให้สอดคล้องความต้องการของตลาด สร้างการเติบโตอย่างมั่นคง และมีเสถียรภาพพร้อมแสวงหาโอกาสการลงทุนเพื่อเสริมขีดความสามารถในการให้บริการและผลักดันผลการดำเนินงานให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับการเข้าลงทุนซื้อกิจการ บริษัท ทรูธ มาริไทม์ (จำกัด) หรือ TM (เดิมคือ บริษัทไทยออยล์มารีน จำกัด) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มไทยออยล์ เป็นการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญของ PRM ซึ่งจะขับเคลื่อนการเติบโตในระยะยาว จากการเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับกลุ่มไทยออยล์ ที่ให้บริการเรือขนส่งปิโตรเลียมระหว่างประเทศ ด้วยเรือ VLCC ขนาดบรรทุก 300,000 DWT จำนวน 3 ลำ ภายใต้สัญญาระยะยาว 10 ปี อันจะช่วยสร้างความมั่นคงของรายได้ให้แก่บริษัท
ขณะเดียวกัน การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถการให้บริการเพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจ จากการรับเรือขนส่งปิโตรเคมีจำนวน 5 ลำ ที่มีความต้องการใช้บริการเพิ่มขึ้นและเรือขนส่งเพื่อการสำรวจและการผลิตน้ำมันกลางทะเล (เรือ Crew Boat) อีก 13 ลำ เพื่อรองรับกิจกรรมทางทะเลที่เพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นการปรับพอร์ตกองเรือที่ทำให้บริษัทฯ สามารถเอาชนะความท้าทายและมีความแข็งแกร่งในการบริหารความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ทั้งจากปัจจัยภายในประเทศและภายนอกประเทศได้ดียิ่งขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทสามารถขยายฐานลูกค้าจากการให้บริการเรือ Crew Boat ที่ปัจจุบันมีอัตราการใช้บริการเต็ม 100% ด้วยสัญญาระยะยาวตั้งแต่เดือนพ.ค. ที่ผ่านมา ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจ Offshore Support เติบโตได้ดี และเป็นอีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจที่เข้ามาช่วยสร้างการเติบโตที่ดีต่อจากนี้เป็นต้นไป เช่นเดียวกับกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งระหว่างประเทศ ที่บริษัทได้ให้บริการเรือ VLCC แก่กลุ่มไทยออยล์จำนวน 3 ลำ เป็นระยะเวลา 10 ปี ซึ่งจะเข้ามาสนับสนุนความมั่นคงของรายได้ในระยะยาวด้วยเช่นกัน
“การเข้าซื้อ TM ถือเป็นการลงทุนครั้งสำคัญที่จะสร้างประโยชน์แก่การดำเนินธุรกิจของเราให้ดียิ่งขึ้น ทำให้เราสามารถรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วง Post-Covid และผลักดันบริษัทฯ ให้เข้าสู่ Growth Mode รอบใหม่ ด้วยผลการดำเนินที่เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน”
นายชายน้อย เผื่อนโกสุม ประธานคณะกรรมการตรวจสอบ PRM กล่าวว่า กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของบริษัทจะมุ่งรักษาความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม ด้วยจุดแข็งด้านพอร์ตกองเรือที่มีความหลากหลาย พร้อมขยายการลงทุนที่จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโต โดยการลงทุนเข้าซื้อ TM ที่ผ่านมา ทำให้บริษัทสามารถผลักดันกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งระหว่างประเทศและกลุ่มธุรกิจเรือ Offshore Support ให้สร้างรายได้เพิ่มขึ้น และสนับสนุนภาพรวมการดำเนินงานของบริษัทได้เป็นอย่างแข็งแกร่ง ขณะเดียวกัน การบริหารพอร์ตกองเรือถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างการเติบโตให้กับบริษัทฯ ในทุกสภาวะตลาด เพื่อมุ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ดีที่สุด ควบคู่กับการบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ