เตือน ‘หุ้นสหรัฐ’ แค่รีบาวด์ กูรูแนะปรับพอร์ตถือบอนด์
ตลาดหุ้นสหรัฐเดือนตุลาคม แม้จะเริ่มกลับมาเขียวสดใส โดยเฉพาะดัชนีดาวโจนส์ที่พุ่งขึ้นราว 14% เรียกได้ว่าเป็นดัชนีที่ให้ผลตอบแทนสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่ถ้านับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันแล้ว หุ้นสหรัฐยังคงติดลบราว 10-30%
ตลาดหุ้นสหรัฐเดือนตุลาคมเริ่มกลับมาเขียวสดใส โดยเฉพาะดัชนีดาวโจนส์ที่ขยับขึ้นราว 14% เรียกได้ว่าเป็นดัชนีที่ให้ผลตอบแทนสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก คำถาม คือ การเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรงของดัชนีดาวโจนส์ในเดือนต.ค.นี้ ถือเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ได้หรือไม่ว่า ‘ตลาดหุ้นสหรัฐ’ กำลังกลับทิศสู่ ‘ขาขึ้น’ อย่างเต็มตัว หรือจะเป็นแค่เพียงการ ‘รีบาวด์ช่วงสั้นๆ’ เท่านั้น
นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด ให้คำตอบกับ ‘กรุงเทพธุรกิจ’ ไว้อย่างชัดเจนถึง ดัชนีดาวโจนส์ที่ดีดกลับขึ้นมาร่วม 14% อาจเป็นเพียงการรีบาวด์ทางเทคนิคเท่านั้น สาเหตุเพราะภาพการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ยังไม่จบลงง่ายๆ ในแง่ของการลงทุนจึงยังไม่ใช่จังหวะที่เหมาะสมนักสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้น โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้นสหรัฐ แม้ว่าในเดือนต.ค.จะรีบาวด์กลับขึ้นมาค่อนข้างแรงก็ตาม
ทั้งนี้ แม้นักลงทุนจะแอบมีความหวังว่า เฟดจะหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้ แต่นั่นก็เป็นแค่ความหวัง เพราะในความเป็นจริงเฟดคงยังไม่หยุดขึ้นดอกเบี้ยจนกว่าจะมั่นใจว่าสามารถควบคุมเงินเฟ้อได้อยู่หมัด ซึ่งถ้าดูตัวเลขเงินเฟ้อที่ประกาศออกมาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่า Core PCE (ดัชนีราคาจากรายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล) เพิ่มขึ้น 0.5% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งไม่มีแนวโน้มที่จะลดลงเลย
นอกจากนี้ หากพิจารณาอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น(พี/อี) ของหุ้นสหรัฐก็ยังคงแพงที่สุดในตลาดทั่วโลก ซึ่งถ้าเข้าไปดูกองทุนหุ้นสหรัฐก็ยังติดลบอยู่ตั้งแต่ต้นปี โดยเฉพาะกองทุนที่เข้าไปลงทุนในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยี แม้ว่าตอนนี้ตลาดจะรีบาวน์ แต่กลุ่มเทคโนโลยีไม่ได้รีบาวน์ขึ้นมาด้วย เนื่องจากผลประกอบล่าสุดออกมาค่อนข้างแย่ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นอย่างอะเมซอน หรือกูเกิล ดังนั้นหุ้นที่ขึ้นกลับกลายเป็นเซกเตอร์อื่น ๆ เช่นกลุ่มพลังงาน เป็นต้น
อย่างไรก็ดี สำหรับนักลงทุนที่จะเข้ามาในหุ้นสหรัฐ ณ ขณะนี้แนะนำว่าให้นำเงินไปลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นของสหรัฐ หรือมันนี่มาร์เก็ตของสหรัฐแทน ซึ่งสามารถให้ผลตอบแทนอยู่ 4 - 4.3% ถือว่าให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับการจ่ายปันผล
นายบดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการส่วนกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บลจ.) ทหารไทย อีสท์สปริง ให้ข้อมูลเสริมว่า หุ้นสหรัฐน่าจะเพียงแค่รีบาวด์กลับขึ้นมาในช่วงสั้นๆ เท่านั้น หลังจากที่ตลาดปรับตัวลงไปจนทำจุดต่ำสุด แต่ระยะกลางหรือระยะยาว ก็ยังมองเป็นโอกาสที่น่าสนใจ
“ส่วนกองทุนหุ้นสหรัฐที่ผลตอบแทนยังติดลบตั้งแต่ต้นปี ประมาณกว่า 30% ถือว่าลงค่อนข้างเยอะ ตอนนี้รีบาวน์ขึ้นมาแล้วเหลือสักประมาณติดลบ 23 - 24% รวมถึงหุ้นกลุ่มเทคที่ยังติดลบ 35% ตอนนี้เหลือไม่ถึง 30% อยู่ที่ ลบ 26 - 27% เพราะฉะนัั้นการที่รีบาวน์ขึ้นมาสัปดาห์เดียวยังคาดว่าอยู่ในระยะสั้น ๆ ที่นักลงทุนต่างจับตาการประชุมเฟดในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน และธันวาคมนี้ ที่เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ แม้ว่านักลงทุนจะรับรู้ข่าวก่อนหน้านี้ไปแล้ว”
สิ่งที่อยากแนะนำนักลงทุนให้ระวัง 3 เรื่องต่อการลงทุนในขณะนี้ เพื่อใช้เป็นกลยุทธ์ในการปรับพอร์ต ได้แก่
1.ปีหน้าคาดว่าดอกเบี้ยจะปรับขึ้นน้อยลง ความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อจะลดลง และความเสี่ยงเรื่องภูมิรัฐศาสตร์จะเพิ่มขึ้น ระหว่างสหรัฐกับจีน เรื่องสงครามการค้าที่เกี่ยวข้องกับเซมิคอนดักซ์เตอร์ น่าจะเจอของจริงในปีหน้า
2. ในครึ่งปีแรกนโยบาย ZERO COVID-19 ยังคงดำเนินนโยบายต่อ เพราะฉะนั้นตลาดหุ้นโดยเฉพาะฝั่งเอเชียกับจีนยังไม่ได้ฟื้นตัวชัดเจนมากนัก
3. แม้หุ้นกลุ่มเทคจะเริ่มกลับมาในปีหน้า แต่นโยบายของเฟดและธนาคารกลางประเทศอื่น ๆ ยังคงต้องจับตาให้ความสำคัญต่อไป ขณะเดียวกันหุ้นในกลุ่มประเทศอินเดีย ญี่ปุ่น และอินโดนีเซีย 3 ประเทศนี้ไม่ค่อยได้รับผลกระทบมากนัก ถือเป็นหลุมหลบภัยที่ดีได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้