MTI กำไร 9 เดือนปีนี้ 696 ล้านบาท พุ่ง 11.48% งานรับประกันภัย - คุมสินไหมดีขึ้น
เมืองไทยประกันภัย กำไร 9 เดือนแรกปีนี้ 696.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.48% สารพัดปัจจัยหนุน งานรับประกันภัยดีขึ้นจากการปรับเบี้ยเหมาะสม ลดช่องทางและงานรับประกันภัยไม่เข้าเกณฑ์ จัดการสินไหมดีขึ้น ไร้กระทบประกันโควิด ทำประกันต่อสัดส่วนสูงถึง 85%
บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ MTI แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ว่า ผลการดำเนินงาน 9 เดือนปีนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิ 696.45 ล้านบาท มีกำไรเพิ่มขึ้น
71.73 ล้านบาท หรือคิดเป็น 11.48%
ส่งผลให้กำไรต่อหุ้นสำหรับงวด 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน พ.ศ.2565 และ พ.ศ.2564 มีอัตรา 11.80 บาท และ 10.59 บาท ตามลำดับ
อนึ่ง งบการเงินที่แสดงตามส่วนได้เสียมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 698.63 ล้านบาท จากผลการดำเนินงานของบริษัทร่วม
สำหรับกำไรที่เพิ่มขึ้น เป็นผลที่เกิดมาจากปัจจัยหลายประการดังนี้
-ในปี 2565 ผลการรับประกันภัยดีขึ้นจากการปรับอัตราเบี้ยประกันภัยให้เหมาะสม การลดสัดส่วนงานในช่องทาง และประเภทผลิตภัณฑ์ที่ผลการรับประกันภัยไม่เข้าเกณฑ์ รวมทั้งการบริหารจัดการสินไหมให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
-สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในช่วงหกเดือนแรกของปี 2565 ส่งผลต่อจำนวนสินไหมทดแทนจ่ายของบริษัทสูงขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับปี 2564 แต่อย่างไรก็ตาม บริษัท มีบริหารความเสี่ยงโดยการประกันภัยต่อออกไปมากกว่า 85% และบริษัทยังมีการประกันภัยต่อแบบไม่เป็นสัดส่วนเพิ่มเติมอีกด้วย
- ค่าใช้จ่ายสินไหมลดลงในส่วนของงานประกันภัยรถยนต์ อัตราส่วนสินไหมงานประกันภัยรถยนต์มีการปรับตัวลดลง มากขึ้นในปี 2565 โดยเป็นผลจากสถานการณ์โควิด-19 ที่มีการควบคุมการเคลื่อนย้าย และการจำกัดเวลาออกจากเคหสถานในไตรมาสแรกของปี 2565 ในส่วนของอัตราส่วนสินไหมงานประกันภัยทั่วไป สูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับปี 2564 เนื่องจากมียอดสินไหมที่เพิ่มขึ้นอย่างมากของกรมธรรม์ประกันภัยไวรัสโคโรนา (COVID-19) ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 ถึงแม้จะมียอดสูง แต่ก็มีการจัดทำประกันภัยต่อไปยังบริษัทรับประกันภัยต่อในต่างประเทศที่มีเครดิต แข็งแกร่งทำให้มีผลกระทบไม่มากจำนวน 6.74 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.44 จากการประกันภัยต่อของงานประกันภัยรถยนต์ตามสัดส่วนของเบี้ยประกันภัยรับตรงของงานรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น
-รายได้ และกำไรจากการลงทุนในหลักทรัพย์ และรายได้อื่นสุทธิลดลงจำนวน 78.57 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อนคิดเป็นอัตราร้อยละ 14.20 โดยสอดคล้องกับสภาวะตลาดหลักทรัพย์ ของปี 2565
-ค่าใช้จ่ายสินไหมทดแทนสุทธิจำนวน 3,357.38 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 11.53 จากปีก่อน การเพิ่มขึ้นของอัตราสินไหมทดแทนในส่วนของสินไหมประกันภัยรถยนต์มาจากการขยายตัวของรับประกันภัยรถยนต์ของบริษัทที่เพิ่มขึ้น สำหรับสินไหมประกันภัยทั่วไปที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากมีสินไหมรายใหญ่ที่เกิดจากอุบัติภัย ภัยธรรมชาติ และสินไหมจากการรับประกันภัยกรมธรรม์ประกันภัยไวรัสโคโรน่า (COVID 19) ซึ่งมีการจัดทำประกันภัยต่ออย่างเหมาะสม
-ค่าจ้าง และบำเหน็จจ่ายมีอัตราร้อยละ 15.80 ของเบี้ยประกันภัยรับรวมซึ่งเป็นอัตราเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อยค่าใช้จ่ายในการรับประกันภัยอื่น และค่าใช้จ่ายดำเนินงานเพิ่มขึ้น 47.05 ล้านบาท มาจากรายจ่ายประเภทต่างๆเกี่ยวกับการตลาด และส่งเสริมการขายเพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิม และขยายฐานลูกค้าใหม่ภายใต้สภาวะการแข่งขันทางตลาด
สินทรัพย์รวมของบริษัทเพิ่มขึ้น ประกอบด้วย การเพิ่มของสินทรัพย์จากการประกันภัยต่อจากสำรองสินไหมทดแทนส่วนที่เรียกคืนจากบริษัทประกันภัยต่อที่เพิ่มขึ้น หนี้สินรวมเพิ่มขึ้นจากหนี้สินจากสัญญาประกันภัยจากสำรองสินไหมทดแทน และเบี้ยประกันภัยรับล่วงหน้า การเปลี่ยนแปลงในส่วนของเจ้าของสำหรับงวดเก้าเดือนตามงบการเงินเฉพาะกิจการสิ้นสุด วันที่ 30 กันยายน 2565 ประกอบด้วย กำไรจากการดำเนินงานสำหรับงวดจำนวน 696.45 ล้านบาท ผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากการวัดมูลค่าของเงินลงทุนในหลักทรัพย์เผื่อขาย - สุทธิภาษีเงินได้ จำนวน 505.86 ล้านบาท และเงินปันผลจ่าย ประจำปี 2564 จำนวน 306.80 ล้านบาท
สำหรับงบการเงินที่แสดงตามวิธีส่วนได้มียอดลดลงจากผลต่างของอัตราแลกเปลี่ยนจากการแปลงค่างบการเงินที่เป็นเงินตราต่างประเทศ - เงินลงทุนในบริษัทร่วม
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์