ความมั่งคั่งในตลาดหุ้น(อาจ)เป็นภาพลวงตา

ความมั่งคั่งในตลาดหุ้น(อาจ)เป็นภาพลวงตา

การตกลงมาของหุ้นเมตาหรือเฟซบุคในช่วงประมาณ 1 ปี เศษๆที่ผ่านมานั้น  เป็นสิ่งที่เตือนให้นักลงทุนตระหนักว่า  มูลค่าของหุ้นนั้น  สามารถเปลี่ยนแปลงได้มหาศาลไม่ว่าหุ้นอาจจะดูว่าดีหรือแข็งแกร่งแค่ไหน 

ราคาของหุ้นเมตาตกลงมาจากจุดสูงสุดเมื่อต้นเดือนส.ค.ปีที่แล้วที่ประมาณ 380 ดอลลาร์ เหลือเพียง 110 ดอลลาร์  หรือตกลงมาประมาณ 70% และนั่นทำให้มาร์คซักเกอร์เบิร์ก ซึ่งเป็นเจ้าของและผู้ก่อตั้ง ตกอันดับจากคนที่รวยที่สุดอันดับ 5 ของโลกในปีที่แล้ว และเหนือกว่าวอเร็นบัฟเฟตต์ที่อยู่อันดับ 6  กลายเป็นอันดับที่ 27 ของโลก  ในขณะที่บัฟเฟตต์ก็ยังอยู่ประมาณ Top 5 หรือ 1 ใน 5 อันดับแรกของโลก  ตามที่เขาก็อยู่มาหลายสิบปีแล้ว

 เมื่อเร็วๆนี้  หุ้น MORE ที่มีราคาซื้อขายประมาณ 2.9 บาทต่อหุ้น ได้ตกลงมาเหลือเพียง 58 สตางค์ภายในเวลาไม่กี่วัน  หรือลดลงถึง 80% เมื่อเกิดเรื่องการซื้อขายหุ้นที่ “ผิดปกติ” และกำลังถูกตรวจสอบจากทางการว่าอาจจะผิดกฎหมาย  ผลก็คือ  ความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้นใหญ่หลายคน หรือหลายครอบครัวหดหายไป “หลายพันล้านบาท” ในชั่วข้ามคืน

มาซาโยชิซันเป็นคนที่  “รวยที่สุดของญี่ปุ่น” มาเป็นระยะๆ  โดยเฉพาะในช่วงที่หุ้นดิจิทัลและไฮเทคของโลกร้อนแรงมากในช่วงโควิด-19 ระบาด  เหตุผลก็เพราะว่าเขาคือ “นักลงทุนในหุ้นสตาร์ตอัป-ไฮเทคบันลือโลก”   แต่เมื่อ “ฟองสบู่แตก” ความมั่งคั่งของเขาก็ตกลงมากว่าครึ่ง  และเหลือเพียงประมาณ 20,000 ล้านดอลลาร์พอๆ  กับคนที่รวยที่สุดของไทยที่ทำธุรกิจ “Old Tech” หรือธุรกิจที่มีการ “ผูกขาด” ด้วยปัจจัยบางอย่างและความมั่งคั่งก็ยังคงอยู่แบบนั้นมานานหรือยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

 ทั้งหมดนั้นก็เป็นกรณีที่โด่งดังและเห็นได้ชัดว่า  ความมั่งคั่งของคนหรือนักลงทุนในตลาดหุ้นนั้น  สามารถเปลี่ยนแปลงได้มากและเกิดขึ้นได้เร็วมาก  บางครั้งอาจจะชั่วข้ามคืน  เพราะราคาหุ้นในตลาด  โดยเฉพาะหุ้นที่ขึ้นไปแรงมากจน “แทบจะเป็นไปไม่ได้” มองจากพื้นฐานของธุรกิจ 

โดยเฉพาะจากนักลงทุนแบบ “VI พันธุ์แท้” สไตล์วอเร็นบัฟเฟตต์ที่  Conservative และมีหลักการลงทุนสำคัญที่ว่า  ต้องซื้อเฉพาะหุ้นของกิจการที่ดีในราคาถูกหรือยุติธรรม  และลงทุนอะไรก็คิดว่าจะต้องไม่ขาดทุนและมีมาร์จินออฟเซฟตี้เสมอ  นอกจากนั้นจะต้องมีการกระจายความเสี่ยงของการลงทุนเพียงพอ ไม่ลงทุนในกิจการหรือหุ้นเพียงตัวหรือสองตัวหรืออุตสาหกรรมเพียงอย่างเดียวเช่นเฉพาะพวกดิจิทัลเป็นต้น

 ผมเองมีความเชื่อว่า  ความมั่งคั่งของเราที่อยู่ในหุ้นหรือในตลาดหุ้นนั้น  ส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่ของจริง   แต่เป็น “Illusion” หรือ “ภาพลวงตา” เพราะมันมีโอกาสเปลี่ยนแปลงไป  บางครั้งมากจนทำให้สถานะเปลี่ยนได้  เช่น  จากเศรษฐีเป็นคนธรรมดาหรือยาจกได้  คำว่า “คนเคยรวย” หรือ “เจ้าสัวเยสเตอร์เดย์” ที่พูดกันมากในยุควิกฤติปี 2540 นั้น  เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาและแม้แต่ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจปกติและโดยเฉพาะในช่วงที่หุ้นบางกลุ่มหรือตลาดหุ้นร้อนแรงซึ่งก็น่าจะรวมถึงช่วงเร็วๆ  นี้ที่หุ้นเก็งกำไรหรือหุ้นปั่นทั้งตัวเล็กและใหญ่ได้สร้างเซียนหรือเศรษฐีหุ้นขึ้นมากมาย

กรณีของหุ้น MORE ที่ทำให้ความมั่งคั่งสูญสลายไปใน “ชั่วข้ามคืน” นั้น  ผมคิดว่ามีโอกาสเกิดขึ้นอีกไม่น้อย เมื่อคำนึงถึงหุ้นที่มีธุรกิจขนาดเล็ก แต่ราคาหุ้นขึ้นไปสูงมากเป็นหลายเท่า หรือเป็นสิบเท่าในเวลาบางทีไม่ถึงปี  จนทำให้หุ้นแพงมากแบบเหลือเชื่อ  คือมีค่า P/E เกิน 50 เท่า จาก  “กำไรปกติ”

ซึ่งมักจะทำให้ธุรกิจที่มีขนาดเล็กก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์  กลายเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าเป็น “หมื่นล้านบาท” และทำให้เจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่กลายเป็น  “มหาเศรษฐี” วัดจากราคาหรือมูลค่าหุ้นนั้น  ควรจะต้องตระหนักว่า  นี่อาจจะเป็น  “ภาพลวงตา” ที่อาจจะหายไปได้ง่าย ๆ

เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ถ้าเราอยากจะ  “คว้า” ความมั่งคั่งที่เราคิดว่ามันมีอยู่จริงนั้นไว้  ก็อาจจะพบว่า เราไม่ได้มีเงินหรือความมั่งคั่งขนาดนั้น  เพราะเมื่อเราขายหุ้นออกไปเพื่อที่จะ  Realized หรือแปลงให้เป็นเงินสดจริง  ราคาหุ้นก็อาจจะร่วงลงมาอย่างแรง  และถ้ายิ่งขายออกมามาก  ราคาหุ้นก็อาจจะถล่มจนแทบจะไม่เหลือค่าอย่างที่เกิดขึ้นในกรณีหุ้น MORE หรือหุ้นอีกมากมายในประวัติศาสตร์ที่เคยสูงจนสุดฟ้าแล้วก็ตกจากสวรรค์  และคนก็ลืมไปแล้วว่าครั้งหนึ่งเราเคยมีหุ้นแบบนี้ในตลาดหลักทรัพย์  และบางทีเราก็อาจจะเคยเล่นด้วย

การตระหนักว่าความมั่งคั่งในหุ้นหรือตลาดหุ้นเป็นภาพลวงตานั้น   ผมคิดว่าควรเป็นคุณสมบัติที่สำคัญอย่างหนึ่งของ “VI พันธุ์แท้” ที่เน้นการลงทุนระยะยาวเพื่อชีวิตที่มั่นคงหรือชีวิตที่มั่งคั่ง  เพราะการตระหนักในสิ่งนี้จะทำให้เราทบทวนเสมอว่าพอร์ตการลงทุนของเราใหญ่เพียงพอหรือไม่ที่จะดูแลชีวิตและครอบครัวของเราได้อย่างมั่นคงและโอกาสที่จะผิดพลาดนั้นต่ำและอยู่ในระดับที่ยอมรับได้

ในระดับของหุ้นแต่ละตัวนั้น  “ภาพลวงตา” ของมูลค่าหุ้นจะสูงมากถ้าหุ้นตัวนั้นมีราคาแพงมาก  เช่น  เป็นหุ้นที่มีค่า P/E 50 70 เท่า  หรือ 100 เท่าจากกำไรปกติ  ซึ่งก็คือกำไรที่เกิดจากธุรกิจปกติไม่ใช่กำไรพิเศษ  และไม่เป็นกำไรในสถานการณ์อุตสาหกรรมที่ดีผิดปกติหรือแย่ผิดปกติ  และในกรณีที่พบว่ากำไรของบริษัทในปีนั้นไม่ปกติ  ก็สามารถหา  “กำไรปกติ”  โดยใช้กำไรต่อยอดขายเฉลี่ยหลาย ๆ ปีของบริษัทหรือของอุตสาหกรรมคูณด้วยยอดขายของบริษัท  จากนั้นจึงนำไปหารราคาหุ้น  ก็จะได้ค่า P/E ที่ต้องการ

นักลงทุนจำนวนไม่น้อยคิดว่าค่า P/E ที่สูงนั้นไม่สำคัญ  เพราะบริษัท “โตเร็วมาก”  และนี่ก็คือสิ่งที่ VI โดยเฉพาะที่เป็นคนหนุ่มสาวยุคใหม่เชื่อ  ดังนั้น  เขาก็อาจจะไม่รู้สึกว่าหุ้นที่มีราคาวิ่งขึ้นไปเร็วมากและค่า P/E สูงสุดกู่จะเป็นหุ้นที่อาจจะตกลงมาได้แรงมาก  พวกเขาคิดว่านี่คือหุ้นที่ดีและแข็งแกร่งและจะวิ่งขึ้นไปอีกมาก  และนี่อาจจะเป็นหุ้น “เปลี่ยนชีวิต” ของเขา  ซึ่งผมเองกลับคิดว่ามันมีโอกาสที่จะ “เปลี่ยนชีวิตให้จนลง” ได้เช่นเดียวกัน

ในระดับของพอร์ตโฟลิโอซึ่งเป็นตัวบอกว่าตอนนี้เรารวยหรือมีความมั่งคั่งแค่ไหนแล้ว  พร้อมที่จะเป็นอิสระทางการเงินหรือยัง  ก็เป็นสิ่งที่  VI ผู้มุ่งมั่นจะต้องประเมินอยู่ตลอดเวลา  ผมเองยังจำได้ว่าในช่วงของการสร้างเนื้อสร้างตัวจากการลงทุน  ทุกครั้งที่ภรรยาถามว่าเรามีเงินหรือหุ้นเท่าไรแล้ว 

ผมจะ “Discount” หรือลดมูลค่าพอร์ตลงประมาณ 25-30%  เพื่อไม่ให้เขารู้สึกว่าเรามีเงินมากพอแล้วและอาจจะย่ามใจเกินไป  แต่จริงๆ  แล้วผมเองก็เชื่อว่าโอกาสที่เราจะจนลงไป 20-30% จากที่เราเห็นนั้นมีความเป็นไปได้สูงแม้ว่าหุ้นที่ถืออยู่จะมีพื้นฐานเต็มเปี่ยม  ไม่ใช่หุ้นเก็งกำไรที่มีค่า P/E สูงเลย  ผมคิดจริง ๆ  ว่าความมั่งคั่งในหุ้นนั้น  เป็น  “ภาพลวงตา”

วิธีลดภาพลวงตาลงหรือทำให้เราปลอดภัยว่าเงินจะไม่น้อยไปกว่านั้นมากก็คือ  การกระจายความเสี่ยง โดยการไม่ถือหุ้นในอุตสาหกรรมหรือหุ้นตัวใดตัวหนึ่งที่ใหญ่เกินไป  หุ้นใหญ่ที่สุดไม่ควรจะเกิน 30-40% ของพอร์ต  หุ้นใหญ่ที่สุด 5-6 ตัวรวมกันต้องไม่เกิน 75% ของพอร์ต  เป็นต้น  นอกจากนั้นก็จะต้องดูว่าหุ้นแต่ละตัวต้องเป็นหุ้นที่เป็น  “Value” จริง ๆ  ที่มีความแข็งแกร่งของกิจการและมีค่า P/E ไม่สูงเกินไป

VI บางคนที่ผมรู้จักดูถึงขนาดว่าค่า P/E เฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของพอร์ตนั้นไม่เกินกี่เท่า  เช่น  ไม่เกิน 12 -15 เท่าอะไรทำนองนั้น  ซึ่งการทำแบบนี้เองก็ไม่ได้หมายความว่าความมั่งคั่งของเขาจะเป็นจริงตามที่เห็น 100% แต่อย่างน้อยมูลค่าหุ้นก็มีความมั่นคงพอสมควร  ไม่เป็น  “ภาพลวงตา”  และนั่นก็คงคล้ายๆ  กับความมั่งคั่งของวอเร็นบัฟเฟตต์ที่มีเสถียรภาพมากต่อเนื่องยาวนานหลายสิบปี  และไม่เหมือนเจ้าของบริษัทที่มักจะ “ถือหุ้นตัวเดียว” และราคาหุ้นเปลี่ยนแปลงมากมายจนแทบจะหามูลค่าความมั่งคั่งที่แท้จริงไม่ได้