“อนุสรณ์ ธรรมใจ”ชี้ควรเก็บภาษีจาก Capital Gain แทนภาษีจากการขายหุ้น
"อนุสรณ์ ธรรมใจ" สนับสนุนการเก็บภาษีตลาดทุน เพื่อลดความเสี่ยงฐานะการคลังและรายจ่ายสวัสดิการที่สูงขึ้น แต่ควรเก็บภาษีจาก Capital Gain Tax แทนภาษีจากการขายหุ้น เนื่องจากเป็นธรรมมากกว่า เพราะจะเก็บภาษีเฉพาะผู้ที่มีกำไรเท่านั้น คนที่ขาดทุนไม่ต้องเสียภาษี
รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สนับสนุนให้มีการเก็บภาษีตลาทุนและปฏิรูปโครงสร้างภาษีเพื่อแก้ไขปัญหาความเสี่ยงฐานะการคลังของประเทศ
บรรเทาปัญหาฐานะทางการคลังที่ต้องมีรายจ่ายทางด้านสวัสดิการสังคมสูงขึ้นจากสังคมชราภาพและการก่อหนี้เพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจและลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา
ทั้งนี้ มองว่าการเก็บภาษีการขายหุ้นไม่น่าจะกระทบการลงทุนโดยภาพรวมมากนัก แต่อาจไม่เป็นธรรมต่อนักลงทุนที่ขายหลักทรัพย์แล้วขาดทุน จึงเสนอให้เก็บภาษีกำไร Capital Gain Tax แทนภาษีการขายแทน
แม้ว่าการเก็บภาษีกำไรจากการลงทุน Capital Gain Tax จะมีความยุ่งยากในการจัดการมากกว่า แต่จะเป็นธรรมกว่า เพราะนักลงทุนที่ลงทุนแล้วขาดทุนไม่ต้องเสียภาษี ส่วนผู้ที่ลงทุนแล้วกำไรจากการขายต้องเสียภาษีตามอัตราที่กระทรวงการคลังกำหนด
อย่างไรก็ตาม การเก็บ Capital Gain Tax แทน Financial Transaction Tax จากการขาย อาจทำให้รายได้ภาษีของกระทรวงการคลังลดลงบ้าง แต่ความเป็นธรรมต่อนักลงทุนสำคัญกว่า และกลไก Capital Gain Tax ยังช่วยสร้างความสมดุลในตลาดการเงินและลดความร้อนแรงหรือฟองสบู่จากเงินทุนไหลเข้าได้ไม่ต่างจาก Financial Transaction Tax (จากการขาย)
กลุ่มนักลงทุนในตลาดหุ้นทั้งนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศอยู่ในฐานะทางเศรษฐกิจที่จะเสียภาษีได้ ขณะที่คนส่วนใหญ่ของประเทศได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโควิดและต้องการมาตรการคลังช่วยเหลือเยียวยาเพิ่มเติม
เหตุผลอีกประการหนึ่ง ในการเสนอให้ใช้ Capital Gain Tax แทนเพราะรัฐบาลเก็บภาษีได้ตามเป้าในปี 2565 จากทิศทางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ การเก็บจากกำไรจากการลงทุนย่อมเหมาะสมกว่าการเก็บจากธุรกรรมการซื้อขายหลักทรัพย์ในสถานการณ์ขณะนี้
คาดว่าการเก็บภาษีในอัตราเหมาะสมที่ระดับ 0.055%-0.1% จะไม่ทำให้สภาพคล่องหรือธุรกรรมในตลาดทุนลดลงมากนัก หากกระทรวงคลังตัดสินใจเก็บภาษีจากธุรกรรมการซื้อขายต่อเดือนเกิน 1 ล้านที่อัตรา 0.1% คาดว่า กระทรวงการคลังน่าจะมีรายได้จากภาษีไม่ต่ำกว่า 15,000-20,000 ล้านบาท แต่จะกระทบสภาพคล่องในตลาดหุ้นและธุรกรรม Trading บ้างในระยะแรก มีผลกระทบต่อรายได้และธุรกิจของกิจการซื้อขายหลักทรัพย์ของ บล. และ บลจ. ในระดับหนึ่ง
หากกระทรวงการคลังไม่เก็บจากธุรกรรมซื้อขาย และเก็บเป็น Capital gains เก็บในอัตรา 0.05% ในการลงทุนที่ถือครองน้อยกว่าหนึ่งไตรมาสตามที่ตนเสนอ รายได้จากภาษีจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 3,000-8,000 ล้านบาท
และรายได้อาจไม่แน่นอนขึ้นกับภาวะตลาด ซึ่งจะเก็บภาษีได้มากกรณีเป็นทิศทางตลาดหุ้นขาขึ้น หากเป็นตลาดหุ้นขาลงและนักลงทุนส่วนใหญ่ขาดทุน หรือ สัดส่วนการลงทุนเป็นการลงทุนระยะยาวกว่าหนึ่งไตรมาส รัฐบาลอาจมีรายได้ภาษีลดลง แต่กรณีการเก็บจากกำไรจากการลงทุนแทบจะไม่กระทบสภาพคล่องตลาดและธุรกรรมการซื้อขาย และทำให้การพัฒนาตลาดทุนสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตามหากเก็บภาษีในอัตราสูงไม่ว่า เก็บจากฐานธุรกรรมซื้อขาย หรือ ฐานกำไร ล้วนทำให้สภาพคล่องและธุรกรรมลดลงมากทั้งสิ้นและอาจทำให้การลงทุนในตลาดการเงินไทยถูกโยกย้ายไปประเทศอื่นในภูมิภาค อย่างสิงคโปร์แทน
เมื่อพิจารณาเรื่องเม็ดเงินรายได้ภาษีจากการเก็บภาษีตลาดทุน เพียงแค่ประเทศประหยัดเงินงบประมาณจากการซื้ออาวุธหรือการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นหรือกำกับไม่ให้เกิดการรั่วไหลของงบประมาณก็สามารถมีเงินในระดับหลายหมื่นล้านบาทโดยไม่ต้องเก็บภาษีตลาดทุนเพิ่มแต่อย่างใด ภาษีตลาดทุนอาจมีประโยชน์ในแง่มุมการลดความเหลื่อมล้ำมากกว่าการที่รัฐจะมีรายได้จำนวนมากจากภาษีประเภทดังกล่าว
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวอีกว่า การเก็บภาษีการซื้อขายหุ้นจะทำให้ต้นทุนของนักลงทุนสูงขึ้นโดยเฉพาะนักลงทุนกลุ่มเทรดดิ้งและซื้อขายทำกำไรระยะสั้น ส่วนนักลงทุนระยะยาวจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก การเก็บภาษี Capital gain นี้ควรเก็บเฉพาะที่ลงทุนถือหลักทรัพย์ต่ำกว่าหนึ่งไตรมาสเมื่อขายแล้วได้กำไร และเก็บภาษีจากฐานกำไรดังกล่าว คือ รูปแบบของกำไรที่ได้มาจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าเกิดเป็นกำไรส่วนเกินของทุน
ซึ่งกำไรที่ได้จาก Capital gains ถูกเรียกเก็บภาษีในบางประเทศ เช่น หลายประเทศในยุโรป รวมทั้งสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น โดยญี่ปุ่นมีการเก็บภาษีกำไรจากการขายหุ้น 25% โดยอาจมีการปรับขึ้นเป็น 30% เพราะมีปัญหาเรื่องงบประมาณเช่นเดียวกัน ส่วนสิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง เกาหลีใต้ อินเดีย ไม่เก็บภาษี Capital gains บางประเทศไม่เก็บภาษีเงินปันผลอีกต่างหาก เพราะต้องการส่งเสริมการลงทุนและต้องการเป็นศูนย์กลางทางการเงิน กรณีของไทยต้องเอาให้ชัดในแง่ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจจะได้กำหนดนโยบายไม่ให้ขัดแย้งกันเอง
ส่วนในประเทศไทยตั้งแต่มีการยกเว้นภาษีซื้อขายหุ้นมามากกว่า 30 ปี และไม่เคยเรียกเก็บในลักษณะ Capital gains Tax เพราะต้องการส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน อย่างไรก็ตาม การไม่จัดเก็บภาษี Capital gains มาเป็นเวลากว่าสามสิบปี เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การกระจายความมั่งคั่งไม่ดีนักในระบบเศรษฐกิจไทย
การไม่เก็บภาษีผลกำไรจากตลาดหุ้นทำให้กลุ่มคนที่มีรายได้สูงได้รับการยกเว้นภาษี ทำให้ระบบภาษีไทยไม่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ขัดกับหลักการการกระจายความมั่งคั่งกระจายรายได้ หรือ การ Redistribution ในระบบเศรษฐกิจ ตนจึงขอเสนอให้กรมสรรพากรและตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต้องร่วมพัฒนาระบบที่จะสามารถตรวจสอบได้ว่า นักลงทุนรายใดมีปริมาณการซื้อขายที่เข้าข่ายการเสียภาษีดังกล่าว และเมื่อใช้ไประยะหนึ่งอาจปรับเปลี่ยนมาตรการนี้ได้ (ภาษีเพิ่มการลงทุนระยะยาว) หากได้ไม่คุ้มกับเสีย (การลดลงอย่างมากของการลงทุน การไหลออกของเงินทุนและไม่ช่วยสนับสนุนการพัฒนาตลาดทุน)
รศ.ดร.อนุสรณ์ ย้ำว่า การที่เสนอให้เก็บเพียง 0.05% และ เก็บเฉพาะผลกำไรจากการขายหลักทรัพย์ที่ต้องถือต่ำกว่าหนึ่งไตรมาส แทนการเก็บภาษีจากการขายหุ้น เพื่อไม่ให้กระทบต่อการพัฒนาตลาดทุน การส่งเสริมการลงทุนและการออมเงินผ่านตลาดหลักทรัพย์ และไม่กระทบสภาพคล่องการซื้อขายมากเกินไป
นอกจากนี้ การเก็บเฉพาะกลุ่มนักลงทุนที่ถือหลักทรัพย์น้อยกว่าหนึ่งไตรมาสยังลดความผันผวนของตลาดการเงิน ส่งเสริมนักลงทุนระยะยาวมากขึ้น หรือ อาจเสนอให้เก็บภาษีเป็นลักษณะขั้นบันไดก็ได้ คือ ยิ่งถือหลักทรัพย์นานขึ้น เมื่อขายแล้วได้กำไรก็เสียภาษีในอัตราต่ำลง
การเสนอให้เก็บเพียง 0.05% เพราะไม่ต้องการเพิ่ม cost of capital มากเกินไป ทำให้ไม่ส่งเสริมการลงทุน และยังไม่ส่งเสริมการลงทุนที่มีลักษณะเป็น Capital Intensive Investment นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องภาษีซ้อน เนื่องจากบริษัทและนักลงทุนต้องเสียภาษีกำไรบริษัท ภาษีเงินปันผล แล้วต้องมาเสียภาษี Capital gains อีกก็ไม่ควรเก็บเกิน 0.05% นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์การลงทุนบางประเภท เช่น ETF, Derivative Warrant และ Single Stock Futures ต้องพิจารณาด้วยว่า ไม่มีต้นทุนภาษีซ้ำซ้อน (Double Taxation)
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวต่อว่า การเก็บภาษีการขายจะกระทบนักลงทุนประเภทสายเดย์เทรด หรือ นักเก็งกำไรในตลาดหุ้นมากที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มที่ส่งคำสั่งซื้อขายผ่านโปรแกรมเทรด (High Frequency Trading) กลุ่มนี้จะคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30% ของมูลค่าการซื้อขายต่อวัน สมมติว่ามีการขายหุ้นปีละ 1 หมื่นล้านบาท ต้องเสียภาษีถึง 10 ล้านบาทโดยที่การขายนั้นอาจไม่ได้กำไรก็ตาม ปริมาณการซื้อขายของกลุ่มนี้จะลดลงอย่างชัดเจน
แม้จะมีการยกเว้นภาษีสำหรับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แต่กองทุนรวมที่เป็น Passive fund ที่มีขนาดตั้งแต่ 1,000 ล้านขึ้นไป และต้องปรับพอร์ตตามดัชนี พวกกองทุนรวมดัชนี หรือ Index Fund ทั้งหลายจะได้รับผลกระทบจากภาษีการขาย วอลุ่มการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์อาจลดลง ดัชนีอาจปรับตัวลงบ้าง และต้องหาวิธีว่าจะทำอย่างไรไม่ให้ ต้นทุนของเงินทุน (Cost of Capital) สูงขึ้น เพราะจะเป็นอุปสรรคต่อการส่งเสริมการลงทุน และอาจทำให้กิจการ การควบรวมกิจการ การปรับโครงสร้าง การส่งเสริม Venture Capital มีข้อจำกัดมากขึ้น
นอกจากนี้ ผลของการจัดเก็บภาษีธุรกรรมซื้อขายหุ้นอาจทำให้เม็ดเงินลงทุนส่วนหนึ่งไหลเข้าไปลงทุนในกองทุนแทนเพราะไม่ต้องเสียภาษี และอาจทำให้ธุรกิจจัดการกองทุนเติบโตมากขึ้น รวมทั้งทำให้ นักลงทุนปรับพอร์ตการลงทุนให้เป็นการลงทุนระยะยาวมากขึ้น ลดการเก็งกำไรลง นอกจากนี้ การเก็บภาษีการขายหุ้นจะไม่กระทบกองทุนเงินออมเงินลงทุนระยะยาว เพราะกลุ่มนี้ได้รับการยกเว้นภาษี ได้แก่ กองทุนของสำนักงานประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนการออมแห่งชาติ เป็นต้น