"เฟทโก้" ชี้ เก็บ "ภาษีขายหุ้น" ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุน
"เฟทโก้" แจง เก็บภาษีขายหุ้น เป็นปัจจัยฉุดดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน เผยผลสำรวจ FETCO Investor Confidence Index ใน 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ 124.42 เพิ่มขึ้น 14.3% มาอยู่ในเกณฑ์ร้อนแรง
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (เฟทโก้) เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือนพ.ย. 2565 พบว่า “ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index: ICI) ในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 124.42 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 14.3% จากเดือนก่อนหน้าขึ้นมาอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง”
โดยนักลงทุนมองว่าการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และแนวโน้มการชะลอการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ ความไม่แน่นอนต่อนโยบายการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED รองลงมาคือ สถานการณ์โรคระบาด Covid-19 และการประกาศจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) สำรวจในเดือนพ.ย. 2565 ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้
- ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (ก.พ. 2565) อยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” (ช่วงค่าดัชนี 120-159) เพิ่มขึ้น 14.3% จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 124.42
- ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคลอยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” ในขณะที่กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศ และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ อยู่ในระดับ “ร้อนแรง”
- หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุดคือ หมวดท่องเที่ยวและสันทนาการ (TOURISM)
- หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุดคือ หมวดแฟชั่น (FASHION)
- ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุดคือ การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว
- ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุดคือ ความไม่แน่นอนต่อนโยบายการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED
“ผลสำรวจ ณ เดือนพ.ย. 2565 รายกลุ่มนักลงทุน พบว่าความเชื่อมั่นนักลงทุนทุกนักลงทุนบุคคลปรับลดลง 3.7% อยู่ที่ระดับ 109.2 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับเพิ่มขึ้น 28.6% อยู่ที่ระดับ 142.86 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับลดลง 0.5% อยู่ที่ระดับ 129.41 และกลุ่มนักลงทุนต่างชาติปรับเพิ่ม 40.0% อยู่ที่ระดับ 140.00
ในช่วงเดือนพ.ย. 2565 SET Index ปรับตัวในกรอบแคบโดยมีปัจจัยหนุนจากแนวโน้มการชะลอการขึ้นดอกเบี้ยของ FED ซึ่งเป็นผลจากอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐที่ส่งสัญญาณชะลอตัว รวมถึงการประกาศตัวเลข GDP ของไทย ในไตรมาส 3 ที่ขยายตัว 4.5%
สะท้อนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เร่งตัวขึ้นในครึ่งปีหลังนี้ และแรงหนุนจากภาคท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ตลาดยังมีความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเฉพาะในประเทศจีนที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม และการที่รัฐบาลประกาศเริ่มเก็บภาษีขายหุ้นในไทยในปี 2566
โดย SET Index ณ สิ้นเดือนพ.ย.ปิดที่ 1,635.36 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.7% จากเดือนก่อนหน้า ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิในเดือนพ.ย. 2565 กว่า 30,129 ล้านบาท โดยตลอดทั้งปี 2565 นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิเป็นมูลค่า184,060 ล้านบาท
ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตามได้แก่ มาตรการการควบคุมสถานการณ์ Covid-19 ในประเทศจีนหลังเกิดการประท้วงรุนแรงเพื่อต่อต้านนโยบาย Zero Covid ที่เข้มงวด อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกาที่แม้จะชะลอตัวแต่ยังคงสูงกว่าเป้าซึ่งจะส่งผลต่อการตัดสินใจของ FED ในการคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงนานกว่าที่คาดการณ์ไว้
แนวโน้มการเกิด Recession ในภาคเศรษฐกิจยุโรปจากวิกฤติพลังงาน และเงินเฟ้อและสถานการณ์ความขัดแย้งในรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังไม่คลี่คลาย ในส่วนของปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ สถานการณ์การเมืองในประเทศหลังจบการประชุม APEC ซึ่งอาจมีการยุบสภา และจัดการเลือกตั้งในปี 2566 รวมถึงความคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์