"อดีตประธานเฟทโก้" หวังรัฐทบทวนเก็บภาษีขายหุ้น "เหมาะสม หรือทำลายตลาดทุนทางอ้อม"
"ไพบูลย์ นลินทรางกูร"อดีตประธานกรรมการ เฟทโก้ อยากให้รัฐบาลทบทวนเรื่องการเก็บภาษีขายหุ้น ว่ามีความเหมาะสมจริงหรือไม่ หรือเป็นการ "ทำลายตลาดทุนทางอ้อม"
ยังคงเป็นประเด็นที่นักลงทุนออกมาพูดถึงค่อนข้างมาก สำหรับกรณีที่รัฐบาลเตรียมจัดเก็บภาษีขายหุ้นในอัตรา 0.11% โดยจะเริ่มจัดเก็บก่อนในปีหน้าที่ 0.55% ก่อนขยับขึ้นเป็น 0.11% ในปีถัดไป ซึ่งประเด็นที่นักลงทุนและนักวิเคราะห์เป็นห่วงมากสุด คือ การเก็บภาษีดังกล่าวจะกระทบต่อกลุ่มผู้ลงทุนระยะสั้นที่อาจชะลอลงทุนจนทำให้วอลุ่มการซื้อขายหรือสภาพคล่องในตลาดหุ้นลดลง
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ และในฐานะอดีตประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (เฟทโก้) กล่าวว่า ส่วนตัวอยากให้ภาครัฐทบทวนเรื่องการจัดเก็บภาษีขายหุ้น ว่ามีความเหมาะสมจริงหรือไม่ หรือเป็นการ ทำลายตลาดทุนทางอ้อม เพราะ หากเก็บภาษีอาจมีผลทำให้นักลงทุนต่างประเทศที่ใช้โปรแกรมเทรดหายไปจากตลาดหุ้นไทย ซึ่งหากหายไปจริงน่ากังวลมาก เพราะมีสัดส่วนการซื้อขายถึง 40% ของวอล่มเทรดทั้งหมด เท่ากับว่าตลาดหุ้นไทยจะกลับไปมีวอลุ่มเทรด วันละ 20,000-30,000ล้านบาท
ส่วนข้อสังเกตที่ว่าเมื่อวอลุ่มเทรดลดลงแล้วจะทำให้โบรกเกอร์ปรับตัวไปให้บริการเทรดออนไลน์อย่างเดียว (ดิสเคาท์โบรกเกอร์)หรือไม่ นายไพบูลย์ กล่าวว่า หากโบรกเกอร์เลือกที่จะปรับตัวเป็นดิสเคาท์โบรกเกอร์ จะเป็นปัญหาระดับประเทศได้ เพราะใครจะทำหน้าที่ให้ความรู้การลงทุน เพราะ นักลงทุนก็จะแค่แพลตฟอร์มในการเทรด โดยที่ไม่มีความรู้ และทำให้นักลงทุนเปลี่ยนเป็นลงทุนในลักษณะเก็งกำไร มากกว่าเป็นการลงทุนเพื่อได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
อย่างไรก็ตามบทบาทหน้าที่ของสถาบันการเงิน โดยเฉพาะโบรกเกอร์นั้น คือต้องให้ความรู้การลงทุน เพื่อให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดี ซึ่งในส่วนของบล.ทิสโก้ จะไม่เปลี่ยนเป็นดิสเคาท์โบรกเกอร์แน่นอน เพราะต้องการทำหน้าที่ให้ความรู้แก่นักลงทุน และสร้างผลตอบแทนที่ดี สร้างความมั่งคั่งในระยะยาว