TSE หุ้นเล็ก มาแรงแซงหน้าบิ๊กแคปกลุ่มพลังงาน ผ่านคัดเลือก 50 โครงการ จากกกพ.
ประกาศแล้วรายชื่อบริษัทที่ผ่านคุณสมบัติผ่านเกณฑ์เบื้องต้น จากการยื่นคำขอขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. รวมเสนอขายไฟฟ้าทั้งสิ้น 670 โครงการ พบ 12 บริษัทในตลาดหุ้น ด้าน TSE หุ้นไซด์เล็กได้มา 50 โครงการ
ปัจจุบันกระแสไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน หรือพลังงานสะอาด เช่นไฟฟ้าผลิตจากพลังงานแสงอาทิตย์ ไฟฟ้าผลิตจากพลังงานลม ไฟฟ้าผลิตจากพลังงานน้ำ ไฟฟ้าผลิตจากชีวมวล หรือไฟฟ้าผลิตจากขยะ ถือเป็นเทรนด์ที่ได้รับการตอบรับและการสนับสนุนในระดับสากลทั่วโลกเพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) รวมถึงประเทศไทยด้วยที่ภาครัฐได้เข้ามาสนับสนุนท่ามกลางวิกฤตโลกร้อนนี้
ก่อนหน้านี้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. ได้ให้ภาคเอกชนเข้ามายื่นคำขอขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565-2573 สำหรับกลุ่มโรงไฟฟ้าประเภทไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ. 2565 กำลังการผลิตรวม 5,203 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นก๊าซชีวภาพ 335 เมกะวัตต์ พลังงานลม 1,500 เมกะวัตต์ พลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน 1,000 เมกะวัตต์ และพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน 2,368 เมกะวัตต์
โดยมีผู้ยื่นคำเสนอขายไฟฟ้ารวม 670 โครงการ แบ่งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) จำนวน 272 โครงการและผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) จำนวน 398 โครงการ คิดเป็นปริมาณเสนอขายรวมมากถึง 17,400 เมกะวัตต์ สูงกว่าที่กำหนดไว้มากกว่า 3 เท่า ล่าสุดได้มีการประกาศรายชื่อบริษัทที่ผ่านคุณสมบัติผ่านเกณฑ์เบื้องต้น ซึ่งมีหลายบริษัทจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้วย
หนึ่งในนั้นมี บมจ. ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ หรือ TSE หุ้นไซด์เล็ก ที่ดูเหมือนว่าผ่านคุณสมบัติเบื้องต้นมากสุดได้ไปถึง 50 โครงการ ในโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมด จาก การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ กฟภ.ที่ได้ประกาศรายชื่อเอกชนยื่นคำขอขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน จำนวน 303 แบ่งเป็นโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวน 290 โครงการ และโครงการพลังงานลม จำนวน 13 โครงการ ซึ่งถือว่า แซงหน้าเพื่อน ๆ ในกลุ่มเดียวกัน
ทั้งนี้ในโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ ของ กฟภ. ยังพบ บมจ. บี.กริม เพาเวอร์ หรือ BGRIM ได้มา 8 โครงการ , บมจ. อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป หรือ EP ได้มา 8 โครงการ , บมจ. บีซีพีจี หรือ BCPG ได้มา 5 โครงการ , บมจ. โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ หรือ GPSC ได้มา 5 โครงการ , บมจ. กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง หรือ GUNKUL ได้มา 4 โครงการ , บมจ. อุบล ไบโอ เอทานอล หรือ UBE ได้มา 4 โครงการ
บมจ. ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น หรือ WHA ได้มา 3 โครงการ , บมจ. ยูเอซี โกลบอล หรือ UAC ได้มา 3 โครงการ , บมจ. แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ หรือ ACE ได้มา 3 โครงการ , บมจ.ผลิตไฟฟ้า หรือ EGCO ได้มา 2 โครงการ , บมจ. ทีพีไอโพลีน เพาเวอร์ หรือ TPIPP ได้มา 2 โครงการ และ บมจ. คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ หรือ QTC ได้มา 2 โครงการ
สำหรับ หุ้น TSE มี นางสาวแคทลีน มาลีนนท์ เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซึ่งเป็นลูกสาวของ นายประชา มาลีนนท์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ในอดีตเคยถูกออกหมายจับฐานจงใจหลบหนีฟังคำพิพากษา ในคดีทุจริตการจัดซื้อรถเรือดับเพลิงของ กทม. มูลค่า 6,687 ล้านบาท เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2556
หากเข้าไปดูในรายละเอียด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้ว พบว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 คือ บริษัท พี.เอ็ม. เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด จำนวน 783,034,150 หุ้น หรือ 36.98% ซึ่งบริษัทนี้ได้จดทะเบียนเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2554 ทุน 120 ล้านบาท และมีการเปลี่ยนแปลงทุนจดทะเบียนวันที่ 26 เมษายน 2554 จำนวน 1 ล้านบาท ซึ่งบริษัทดำเนินธุรกิจการลงทุนในบริษัทที่ผลิตพลังงานทดแทน ได้แก่ พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์หรือพลังงานทดแทนอื่นๆ โดยพลังงานดังกล่าวใช้เพื่อการผลิตกระแสไฟฟ้า
โดยมีนายประชา มาลีนนท์ ถือหุ้นใหญ่ บริษัท พี.เอ็ม. เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด 63.43% มีกรรมการและผู้มีอำนาจลงนามคือ นางสาวแคทลีน มาลีนนท์ และนายสมภพ พรหมพนาพิทักษ์ ซึ่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ / กรรมการ บมจ. ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ หรือ TSE ด้วยเช่นกัน ขณะที่นางรัตนา มาลีนนท์ พี่สาวคนโตของ ประชา มาลีนนท์ เข้าถือหุ้นใหญ่ TSE อันดับ 6 จำนวน 37,563,200 หุ้น หรือ 1.77%
ส่วนผู้ถือหุ้นใหญ่ TSE อันดับ 2 บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC เป็นที่ทราบกันดีว่า เป็นของครอบครัว นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในรัฐบาลปัจจุบัน ถือจำนวน 190,575,000 หุ้น หรือ 9.00% นอกจากนี้ยังพบว่า มีรายชื่อ นาย มาศถวิน ชาญวีรกูล เข้าเป็น กรรมการ หุ้น TSE ด้วย
สำหรับผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/65 ของ TSE กำไรลดลง เนื่องจากในไตรมาส 3/64 บริษัทมีการรับรู้กำไรจากการขายเงินลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ตั้งอยู่ในประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งมีรายได้จากการขายและการให้บริการรวม 333 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มี 414 ล้านบาท หรือ 20%
ขณะที่ผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทงวด 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.65 มีรายได้รวมส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในการร่วมค้า 1,498 ล้านบาท ลดลง 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีรายได้รวม 1,725 ล้านบาท รายได้ที่ลดลงเนื่องมาจากการจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัทย่อยที่ประเทศญี่ปุ่นในไตรมาส 3/64 และไตรมาส 1/65 รวมกำลังการผลิตทั้งสิ้นจำนวน 21.74 เมกะวัตต์
TSE ณ วันที่ 13 ธันวาคม 2565 มาเก็ตแคป 4,913.10 ล้านบาท พี/อี 9.26 เท่า ราคาสูงสุด/ต่ำสุดในรอบ 52 สัปดาห์ ที่ 2.84 / 2.00 บาท อัตราเงินปันผลตอบแทน 3.23% ราคาปิดที่ 2.32 บาท
จากข้อมูลที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นศักยภาพของตัวบริษัท ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท รวมไปถึงกรรมการและฝ่ายบริหารของบริษัทเอง...นับว่าน่าสนใจไม่น้อยที่ TSE บริษัทเล็กๆ สามารถผ่านคุณสมบัติในเบื้องต้นจาก กกพ. ได้ถึง 50 โครงการ เมื่อเทียบกับบริษัทขนาดใหญ่อื่นๆ ที่ผ่านคุณสมบัติเพียงแค่หลักหน่วย