MOSHI เร่งขยายสาขา-เพิ่มสินค้า หวังขึ้น‘ผู้นำ’ตลาดสินค้าไลฟ์สไตล์ในไทย
“ร้านค้าปลีกสินค้า”ที่ตอบสนองไลฟ์สตล์(Lifestyle)การใช้ชีวิตประจำวันของผู้บริโภคแต่ละกลุ่ม ภายใต้ชื่อทางการค้า “Moshi Moshi”ของ บริษัท โมชิ โมชิ รีเทลคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MOSHI ร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์รายใหญ่ของไทย
โดยมี “จุดเด่น” สินค้ามีความหลากหลาย ทันสมัย เน้นคุณภาพในราคาที่ย่อมเยาเป็นหลัก สินค้าที่จำหน่ายส่วนใหญ่เป็นสินค้าภายใต้ตราสินค้าของบริษัทสัดส่วน 95% ซึ่งมีการ ออกแบบเพื่อจำหน่ายในร้าน Moshi Moshiโดยเฉพาะ (Exclusive)
จากสาขาแรก “สำเพ็ง” ในปี 2559 ปัจจุบันมีสาขากว่า 101 แห่ง และกำลังจะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ด้วยการ เสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 75 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 21 บาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1.00 บาทต่อหุ้นคิดเป็น P/E ที่ 28.66 เท่าคาดเข้าซื้อขายวันแรก (เทรด) 22 ธ.ค.2565คิดเป็นมูลค่าการเสนอขายรวม 1,575 ล้านบาท
ปัจจุบัน MOSHI จำหน่ายสินค้าผ่านหลายช่องทาง คือ1.สาขาของบริษัท ปัจจุบันมีสาขา 101 สาขา ครอบคลุม 41 จังหวัดทั่วประเทศไทย และ2.แพลตฟอร์มออนไลน์ที่เป็นที่นิยม เช่น ช้อปปี้(Shopee) ,ลาซาด้า (Lazada) และ 3.ร้าน Pop-up Store ที่จัดขึ้นชั่วคราวบริเวณพื้นที่ส่วนกลางของห้างสรรพสินค้าชั้นนำ
“สง่า บุญสงเคราะห์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท โมชิ โมชิ รีเทลคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือMOSHIให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า การเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นครั้งนี้ ! เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายสร้างการเติบโตจนสามารถก้าวขึ้นเป็น“ผู้นำอันดับ 1”ในตลาดสินค้าไลฟ์สไตล์ในประเทศไทย สะท้อนผ่านแผน“ขยายการลงทุนเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน” ในปี 2566-2568 ซึ่งจะใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 1,260 ล้านบาท !
โดยแบ่งเป็น “ขยายสาขาและลงทุนโครงการในอนาคต” เช่น การเปิดสาขานอกห้างสรรพสินค้า (Standalone) และร้านแฟรนไชส์ (Franchise) เป็นต้น รวมถึงการพัฒนาสาขาเดิม และปรับปรุงประสิทธิภาพ เช่น พัฒนาระบบ Supply Chain ตั้งเป้าขยายร้านสาขาเพิ่มเป็น165สาขาภายในปี 2568 คาดว่าจะใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า400-450 ล้านบาท“ใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมให้กับสถาบันการเงิน”ไม่เกิน754.01 ล้านบาทภายในปี2565 เพื่อทำให้ดอกเบี้ยจ่ายและอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ลดลง และ“ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน”สำหรับการบริหารจัดการสาขาเดิม การขยายสาขาใหม่ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมตลาดสินค้าไลฟ์สไตล์ปัจจุบันมีมูลค่า 3,000-5,000ล้านบาท มีการเติบโตเฉลี่ยในปี 2559-2564 ที่ 11.2% ต่อปี สูงกว่าอุตสาหกรรมค้าปลีกที่โต 1.4% ต่อปี และคาดว่าปี 2564-2569 ตลาดสินค้าไลฟ์สไตล์จะโตสูงถึง 20.4% ต่อปี แต่อุตสาหกรรมค้าปลีกโตเพียง 7.5% ต่อปี
“สง่า” บอกต่อว่า เมื่อต้องการเป็นผู้นำในตลาดสินค้าไลฟ์สไตล์ในไทย สะท้อนผ่านปัจจุบันมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ1 และสูงถึง 37.6% ในปี 2564 จะมาจาก “กลยุทธ์” คือ1.การเลือกและการปรับเปลี่ยนสินค้าที่ขายหน้าร้าน (Product Mix) และมีการออกจำหน่ายสินค้าใหม่ๆ และสินค้าตามเทศกาล ปีละกว่า 8,000 SKUs เพื่อเพิ่มความหลากหลายของสินค้า อีกทั้งนำเสนอสินค้าที่ใช้ลวดลายคาแรคเตอร์ลิขสิทธิ์ ได้แก่ Mickey Mouse, Winnie The Pooh, Hello Kitty, We Bare Bears, และ Snoopy เพื่อดึงดูดลูกค้าและเพิ่มยอดขาย
2. การนำเสนอสิ่งที่สอดคล้องกับความต้องการและเทรนด์ล่าสุด บริษัทปรับตัวตามความต้องการและแนวโน้มของไลฟ์สไตล์ในปัจจุบันอย่างใกล้ชิด คงคุณภาพและราคาที่เข้าถึงได้ 3. การขยายพื้นที่ให้บริการครอบคลุมทั้งประเทศ ทั้งเมืองใหญ่ ชานเมือง เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าได้ง่ายขึ้น 4.การออกแบบร้านค้าโดดเด่น เน้นสร้างความประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกเห็นด้วยหลักการออกแบบหน้าร้าน การตกแต่งทางเข้าร้าน และต่อยอดธีมการออกแบบ การใช้สีและแสงที่เข้ากัน เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า
และ 5.กลยุทธ์การตลาดบนโซเชียลมีเดีย บริษัทฯ ได้ใช้โซเชียลมีเดียซึ่งเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มการตลาดหลักในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่กว้างขึ้น เพื่อสร้าง Brand Awareness ให้ร้านเป็นที่รู้จักและดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาซื้อสินค้าที่ร้าน พร้อมทั้งได้ร่วมกับผู้มีอิทธิพลทางโซเชียลมีเดีย เพื่อทำให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย (ผู้ติดตาม) ที่กว้างขึ้น ดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย ในขณะเดียวกันยังมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้ออีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ด้วยแผนการดำเนินงานของบริษัทที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีการขยายสาขาไปยังพื้นที่ใหม่ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับจังหวัด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการนำเสนอสินค้าไลฟ์สไตล์ที่ทันสมัยในราคาที่เอื้อมถึงสำหรับกลุ่มเป้าหมายหลักและรองในจังหวัดต่างๆ ของประเทศไทย และเป็นบริษัทฯ ที่มีสาขาครอบคลุมจำนวนจังหวัดสูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งทั้งหมด
ท้ายสุด “สง่า” บอกไว้ว่า ลูกค้าเข้ามาในร้านจะพบเจอกับสินค้าใหม่ ๆ อยู่ตลอด ขณะเดียวกันสินค้าในร้านกว่า 95% เป็น สินค้า Exclusive ออกแบบและพัฒนาโดย MOSHI ไปซื้อที่อื่นไม่มี ถ้าจะซื้อสินค้าของเรา ก็ต้องมาซื้อที่ร้าน Moshi Moshiเท่านั้น