‘หุ้นไทย’ไตรมาส2/66เสี่ยงร่วง ภาษีขายหุ้น-ศก.โลกถดถอย กดดัน
ปี 2566 ความกลัว “เงินเฟ้อและดอกเบี้ยสูง” ผ่านพ้นไปแล้ว แต่มีความกลัวใหม่ “เศรษฐกิจหลายประเทศถดถอย” ซึ่งมีสัญญาณปรากฎชัดเจน ในสหรัฐและยุโรป (รัสเซีย เยอรมันนี อังกฤษ อิตาลี) ซึ่งจะกดดันบรรยากาศการลงทุนทั่วโลก
แม้เศรษฐกิจไทยยังไม่เกิดภาวะถดถอย เพราะการฟื้นตัวของท่องเที่ยว โดยเฉพาะจีนกลับมาเปิดประเทศเร็วกว่าคาด แต่ตลาดหุ้นไทยคงยากที่จะวิ่งสวนแรง
วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 2 ถึงกลางปีนี้ ยังต้องเฝ้าระวัง ปัจจัย “การถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐ และการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด รวมถึงการเก็บภาษีขายหุ้นและการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของ กนง.ในปีนี้ เป็นจุดที่จะเห็นฟันด์โฟลว์ไหลออกเร็ว”
ส่งผลทำให้ดัชนีหุ้นไทยไตรมาส 2 ปี 2566 คงไม่สามารถทะลุผ่านแนวต้าน 1,760 จุดได้ แต่เชื่อว่าจะไม่หลุดแนวรับที่ 1,500 จุด จากปัจจัยหนุนคือ ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัว หลังจีนทยอยเปิดประเทศ และการเลือกตั้งของไทยช่วงกลางปีนี้
เทิดศักดิ์ ทวีธีรธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ และหัวหน้าสายงานวิจัย บล.เอเชียพลัส กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยไตรมาส 1 ปรับตัวในทิศทางที่ดี แต่แนวโน้มไตรมาส 2 จะมีปัจจัย 2 เสี่ยงใหม่ที่คาดเดายากเข้ามากดดันดัชนีหุ้นไทย ปัจจัยแรก คือ เศรษฐกิจหลายประเทศเข้สู่ภาวะถดถอย หากดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐและหุ้นยุโรปปรับลง2-3% ตลาดหุ้นไทยคงยากที่จะต้านทาน แต่เชื่อปรับตัวลงน้อยกว่าตลาดหุ้นดังกล่าว
ส่วนอีกปัจจัยคือ การเก็บภาษีขายหุ้น ที่ยังไม่ชัดเจนการลงประกาศราชกิจจาฯ อาจมีแรงขายออกมาในช่วง90วัน และปกติแล้วจะมีแรงเทขายในเดือน พ.ค. ของทุกปี (Sell in May )ทำให้ตลาดหุ้นมีผลตอบแทนที่ไม่ดีอย่างชัดเจน คาดว่า ดัชนีฯมีโอกาสหลุดแนวรับ1,600 จุดในระยะสั้น ประเมินกรอบดัชนีไตรมาส 2ที่ 1,600-1,700 จุด
อย่างไรก็ตามการทิศทางดัชนีหุ้นไทยยังขึ้นอยู่กับการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และเป็นการจำกัดการไหลเข้าของกระแสฟันด์โฟลว์ ทำให้ดัชนีปรับตัวขึ้นได้ช้าลง หากขึ้นดอกเบี้ย1 ครั้ง แตะ 1.50% ดัชนีฯอยู่ที่ 1,740 จุด ,ขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้ง ดอกเบี้ยอยู่ที่ 1.75% ดัชนีฯอยู่ที่ 1,677 จุด แต่หากไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ คงไว้ที่1.25% ดัชนีฯจะปรับขึ้นไปแตะ 1,820 จุดได้
"คาดดัชนีหุ้นไทยไตรมาส1 ปรับขึ้นได้ โดยประเมินเป้าหมายดัชนี บนสมมติฐาน Market Earning Yield Gap ที่ 4.2% ,EPS ที่ 99.2 บาทต่อหุ้น และคาดดอกเบี้ยฯ ปีนี้อยู่ที่ระดับ 1.50% - 1.75% จะทำให้เป้าหมายดัชนีอยู่ที่ 1,677-1,740 จุด แต่หากดัชนีขึ้นเกินระดับดังกล่าวต้องระวังแรงขายทำกำไร
ฃเทิดศักดิ์ กล่าวว่า แต่ปัจจัยการเลือกตั้งในประเทศ หากไม่สะดุด เป็นไปตามหลักเกณฑ์และไม่มีทางตัน ยังเป็นความหวังหนุนตลาดหุ้นไทยไปต่อได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
โดยการลงทุน ช่วงไตรมาส 2 ปี 2566 เน้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน เช่น กลุ่มค้าปลีก และกลุ่มแบงก์ ที่ราคาหุ้นยังปรับขึ้นไม่มาก และราคามีโอกาสขึ้นได้ รวมถึงต้องพร้อมปรับเปลี่ยนหุ้นให้ทันกับสถานการณ์
กลยุทธ์การลงทุน แนะนำหุ้นกำไรมีแนวโน้มเติบโตที่กระจายบน 3 Theme การลงทุน 1. หุ้นได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวเศรษฐกิจในประเทศ เช่น STEC, COM7, GULF, HMPRO ,CBG 2. หุ้นเกี่ยวเนื่องกับจีน (China Play) เช่น AOT ,ERW 3. หุ้นปันผลมีติดพอร์ต(Dividend Play)เช่น AP, ASK, THANI ,KTB
สำหรับการจัดพอร์ตลงทุนในปี 2566 ที่สร้างผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อรวมกับดอกเบี้ยเงินฝาก 12 เดือน แนะลงทุนหุ้นไทย สัดส่วน30% หุ้นต่างประเทศ 30% ตราสารหนี้ไทยและต่างประเทศ 20% การลงทุนทางเลือก 10%(ตราสารอนุพันธ์ กองรีทและอินฟราสตักเจอร์ฟันด์ ทองคำ ) และเงินสดสำรอง 10%