“หุ้นไทย” ปิดตลาดบวก 3.04 จุด ตลาดพักฐานรอทิศทางนโยบายดอกเบี้ยจากเฟด 1 ก.พ.

“หุ้นไทย” ปิดตลาดบวก 3.04 จุด ตลาดพักฐานรอทิศทางนโยบายดอกเบี้ยจากเฟด 1 ก.พ.

“ตลาดหุ้นไทย” ปิดตลาดวันนี้ (19 ม.ค. 66) อยู่ที่ 1,688.48 จุด เพิ่มขึ้น 3.04 จุด หรือเพิ่ม 0.18% “บล.ยูโอบี” ชี้ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในช่วงพักฐานรอฟังทิศทางนโยบายเงินเฟ้อของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คาดแนวรับ 1,673 จุด แนวต้าน 1,690 จุด

ความเคลื่อนไหวดัชนี “หุ้นไทย” วันนี้ (19 ม.ค.66) ผันผวนในทิศทางดัชนีปรับตัวขึ้นเกือบทั้งวัน ซึ่งดัชนีทำจุดสูงสุดอยู่ที่ 1,690.69 จุด และต่ำสุดอยู่ที่ 1,681.72 จุด ก่อนมาปิดตลาดที่ 1,688.48 จุด เพิ่มขึ้น 3.04 จุด หรือ 0.18% มูลค่าซื้อขาย 52,880.79 ล้านบาท

 

หุ้นที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด 5 ลำดับแรก ได้แก่

1. KBANK มูลค่า 1,808.47 ล้านบาท ราคาหุ้นปิดที่ 153.50 บาท เพิ่มขึ้น 1 บาท หรือ 0.66%

2. AOT มูลค่า 1,738.97 ล้านบาท ราคาหุ้นปิดที่ 74.50 บาท ลดลง 0.50 บาท หรือ 0.67%

3. DELTA มูลค่า 1,656.09 ล้านบาท ราคาหุ้นปิดที่ 862 บาท เพิ่มขึ้น 2 บาท หรือ 0.23%

4. BBL มูลค่า 1,434.79 ล้านบาท ราคาหุ้นปิดที่ 154.50 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลงจากราคาปิดก่อนหน้า

5. CPALL มูลค่า 1,333.99 ล้านบาท ราคาหุ้นปิดที่ 68.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท หรือ 0.36%

กิจพล ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการนักกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า บรรยากาศการลงทุนวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบแคบ และมีแรงขายทำกำไรในหน้าหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวกับการเปิดเมือง

ทั้งนี้ ตลอดช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงพักฐานเพื่อรอฟังผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ ที่กำลังจะประกาศออกมาในอนาคตอันใกล้ ดังนั้นตลาดหุ้นไทยจึงเคลื่อนไหวในลักษณะ “ไม่มีทิศทางที่แน่นอน”

ตลาดหุ้นไทย อาจเคลื่อนไหวในลักษณะนี้ไปอีกระยะหนึ่งจนกว่าจะมีปัจจัยบวกอื่นที่เข้ามากระตุ้นตลาดอย่างชัดเจน เช่น ทิศทางนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐที่จะประกาศออกมาในวันที่ 1 ก.พ. 66 โดยหากเฟดชะลอการขึ้นดอกเบี้ย ภาพของการลงทุนอาจจะสดใสมากขึ้น”

สำหรับ แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทย วันพรุ่งนี้ (20 ม.ค. 66) ยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ด้วยปัจจัยสนับสนุนชุดเดิม ด้วยแนวรับ 1,673 จุด และแนวต้าน 1,690 จุด

ด้านการลงทุนในระยะสั้น ตอนนี้ตลาดหุ้นไทยค่อนข้างนิ่ง และการเก็งกำไรมักอยู่ในธุรกิจขนาดกลาง-เล็ก ดังนั้นช่วงนี้เป็นโอกาสที่จะทยอยสะสมหุ้นที่ยัง Laggard อยู่ ไม่ว่าจะเป็นหน้าหุ้นกลุ่มปิโตรเคมี และกลุ่มการเงิน

ทั้งนี้ หากช่วงนี้หุ้นกลุ่มที่เกี่ยวกับการเปิดเมืองปรับตัวลงไปอย่างรุนแรงแล้ว ในอนาคตอาจมีภาพของการปรับตัวขึ้นมาได้เช่นกัน